ผู้จัดการรายวัน360- "อังคณา"ซัด แถลงการณ์ปธ.กสม. กล่าวหากก.รับใช้ต่างชาติ เป็นเรื่องร้ายแรง ชี้ ไม่เห็นกสม.คนไหนมีพฤติกรรมเช่นนี้ ท้าถ้ามีหลักฐานยื่น สนช.ถอดถอนเลย เหน็บอย่าพูดแบบเหมารวม ยอมรับปัญหาภายในทำ"หมอสุรเชษฐ์" ชิงลาออก ยุส่ง รีเซ็ตยกชุด-สรรหาใหม่ หลังรธน.ใหม่กำหนด กก.สรรหาหลากหลาย หวัง ยกระดับ กสม.ปรับ เกรดเป็น“เอ”เหมือนเดิม
วานนี้ (11เม.ย.) นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึง แถลงการณ์ 6 ข้อของ นายวัส ติงสมิตร ประธานกสม. เกี่ยวกับกรณีปัญหาภายในองค์กร ทำให้ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ยื่นใบลาออก ว่า แถลงการณ์ของประธาน ก็ถือเป็นความเห็นส่วนตัวของประธาน ตนไม่อยากก้าวล่วง แต่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ข้อ 6 ที่ประธานระบุ คล้ายกับว่า มีกก.สิทธิฯ บางคนรับใช้ต่างชาติ เป็นการบ่อนทำลายประเทศชาตินั้น เรื่องนี้ตนก็ไม่ทราบว่า คำกล่าวนี้ใครเป็นคนกล่าว และประธาน หมายถึงใคร เพราะในแถลงการณ์ ประธานไม่ได้ระบุชัดเจน ส่วนตัวตั้งแต่เข้ามาทำงานใน กสม. ยังไม่เห็นมีกก.สิทธิฯ คนใดทำตัวบ่อนทำลายประเทศชาติ ถือเป็นการกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก
ทั้งนี้ หากมีกก.สิทธิฯ คนใดที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ตนเห็นว่าสมควรใช้กลไกทางกฎหมายดำเนินการ โดยนำหลักฐานมอบให้สนช. และยื่นถอดถอนเลย
ส่วนประเด็นปัญหาที่ทำให้ นพ.สุรเชษฐ์ ลาออกนั้น ตนอยากให้ นพ.สุรเชษฐ์ เป็นคนพูดเองดีกว่า แต่คิดว่าการที่ นพ.สุรเชษฐ์ ลาออก อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นถึงอดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความรู้ด้านงานบริหารเป็นอย่างดี แต่พอมาอยู่ในบรรยากาศองค์กรที่บริหารงานยาก คงทำให้คุณหมออึดอัด ซึ่งตนก็ ไม่ต่างกัน
"ยอมรับว่ามันมีปัญหาในการทำงานเกิดขึ้น เช่น บางคดีเดินหน้าไม่ได้ ซึ่งก็เข้าใจ ว่าการทำงานเป็นทีมในบางครั้งต้องมีคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย หลายครั้งก็มีมติเป็นเอกฉันท์ แต่บางคดีเมื่อมติออกมาเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่เห็นด้วย กลับต้องดองเรื่อง นำมาพิจารณาใหม่ ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ เนื่องจากมติคนส่วนน้อยไม่เห็นด้วย"
อย่างไรก็ตาม คิดว่าความแตกต่างเป็นเรื่องปกติเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะคิดเหมือนกันหมด แต่ทำอย่างไรเราจะอยู่ร่วมกับคนที่มีความเห็นแตกต่างกันได้ ก็ต้องเคารพและให้เกียรติกัน
นางอังคณา ยังกล่าวอีกว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กสม. ถูกลดสถานะจาก “เอ”เป็น “บี”โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาตินั้น เป็นเพราะ กสม. ชุดนี้ เข้ามาในยุคของคสช. เราจึงถูกติงว่า กรรมการสรรหาฯชุดนี้ ไม่มีความหลากหลาย ทำให้ได้ กสม.ที่ไม่หลากหลาย ไม่สอดคล้องกับหลักการปารีส ดังนั้นการที่ไทยจะมีกสม.ก็จำเป็นต้องสอดคล้องกับหลักการปารีส
"ยินดี ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กร จะเป็นเหตุให้ กก.สิทธิฯ ถูกรีเซตใหม่ยกชุด เพราะกฎหมายใหม่ได้กำหนดให้ กก.สรรหาฯ ที่มีความหลากหลาย จึงเห็นสมควรยิ่งว่า ควรสรรหา กก.สิทธิฯใหม่ เพราะคิดว่าตัว กก.สิทธิฯ 7 คนมาทำหน้าที่แล้วก็หมดวาระไป แต่สำนักงานกสม. ยังคงต้องอยู่ต่อไป ถ้าไม่มีสำนักงานคอยสนับสนุน กก.สิทธิฯ ก็ทำงานไม่ได้ ดังนั้นหากมีการสรรหา กก.สิทธิฯขึ้นใหม่ กสม.ไทยก็อาจถูกปรับขึ้นสถานะจาก“บี”เป็น “เอ”เช่นเดิมด้วย"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวานนี้ (11เม.ย.) นางอังคณา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า เมื่อวานมีมิตรสหาย รวมถึงสื่อมวลชน ถามไถ่เข้ามามากมาย เรื่องคำแถลงท่านประธาน กสม. ข้อ 6. ทีแรกยอมรับว่า ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เนื่องจากเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของท่านประธานฯ แต่พอถูกถามมากเข้า และฟังเหมือนว่า มีผู้เข้าใจว่า คำแถลงข้อ 6. อาจเป็นไปได้ ที่จะหมายถึง กสม.อังคณา จึงขอแบ่งปันความเห็นต่อเรื่องนี้
"บอกตรงๆ จากทีแรกที่ไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้เริ่มกังวลว่า เรื่องนี้อาจเป็นการใช้ # คำพูดที่สร้างความเกลียดชัง (#HateSpeech)ต่อตัวเอง ในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ กสม. ก็หวังว่าจะไม่ลุกลามจนกลายเป็นการล่าแม่มด นะคะ แค่นี้ก็อยู่ยากมากแล้วค่ะ" นางอังคณา กล่าว
วานนี้ (11เม.ย.) นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึง แถลงการณ์ 6 ข้อของ นายวัส ติงสมิตร ประธานกสม. เกี่ยวกับกรณีปัญหาภายในองค์กร ทำให้ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ยื่นใบลาออก ว่า แถลงการณ์ของประธาน ก็ถือเป็นความเห็นส่วนตัวของประธาน ตนไม่อยากก้าวล่วง แต่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ข้อ 6 ที่ประธานระบุ คล้ายกับว่า มีกก.สิทธิฯ บางคนรับใช้ต่างชาติ เป็นการบ่อนทำลายประเทศชาตินั้น เรื่องนี้ตนก็ไม่ทราบว่า คำกล่าวนี้ใครเป็นคนกล่าว และประธาน หมายถึงใคร เพราะในแถลงการณ์ ประธานไม่ได้ระบุชัดเจน ส่วนตัวตั้งแต่เข้ามาทำงานใน กสม. ยังไม่เห็นมีกก.สิทธิฯ คนใดทำตัวบ่อนทำลายประเทศชาติ ถือเป็นการกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก
ทั้งนี้ หากมีกก.สิทธิฯ คนใดที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ตนเห็นว่าสมควรใช้กลไกทางกฎหมายดำเนินการ โดยนำหลักฐานมอบให้สนช. และยื่นถอดถอนเลย
ส่วนประเด็นปัญหาที่ทำให้ นพ.สุรเชษฐ์ ลาออกนั้น ตนอยากให้ นพ.สุรเชษฐ์ เป็นคนพูดเองดีกว่า แต่คิดว่าการที่ นพ.สุรเชษฐ์ ลาออก อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นถึงอดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความรู้ด้านงานบริหารเป็นอย่างดี แต่พอมาอยู่ในบรรยากาศองค์กรที่บริหารงานยาก คงทำให้คุณหมออึดอัด ซึ่งตนก็ ไม่ต่างกัน
"ยอมรับว่ามันมีปัญหาในการทำงานเกิดขึ้น เช่น บางคดีเดินหน้าไม่ได้ ซึ่งก็เข้าใจ ว่าการทำงานเป็นทีมในบางครั้งต้องมีคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย หลายครั้งก็มีมติเป็นเอกฉันท์ แต่บางคดีเมื่อมติออกมาเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่เห็นด้วย กลับต้องดองเรื่อง นำมาพิจารณาใหม่ ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ เนื่องจากมติคนส่วนน้อยไม่เห็นด้วย"
อย่างไรก็ตาม คิดว่าความแตกต่างเป็นเรื่องปกติเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะคิดเหมือนกันหมด แต่ทำอย่างไรเราจะอยู่ร่วมกับคนที่มีความเห็นแตกต่างกันได้ ก็ต้องเคารพและให้เกียรติกัน
นางอังคณา ยังกล่าวอีกว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กสม. ถูกลดสถานะจาก “เอ”เป็น “บี”โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาตินั้น เป็นเพราะ กสม. ชุดนี้ เข้ามาในยุคของคสช. เราจึงถูกติงว่า กรรมการสรรหาฯชุดนี้ ไม่มีความหลากหลาย ทำให้ได้ กสม.ที่ไม่หลากหลาย ไม่สอดคล้องกับหลักการปารีส ดังนั้นการที่ไทยจะมีกสม.ก็จำเป็นต้องสอดคล้องกับหลักการปารีส
"ยินดี ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กร จะเป็นเหตุให้ กก.สิทธิฯ ถูกรีเซตใหม่ยกชุด เพราะกฎหมายใหม่ได้กำหนดให้ กก.สรรหาฯ ที่มีความหลากหลาย จึงเห็นสมควรยิ่งว่า ควรสรรหา กก.สิทธิฯใหม่ เพราะคิดว่าตัว กก.สิทธิฯ 7 คนมาทำหน้าที่แล้วก็หมดวาระไป แต่สำนักงานกสม. ยังคงต้องอยู่ต่อไป ถ้าไม่มีสำนักงานคอยสนับสนุน กก.สิทธิฯ ก็ทำงานไม่ได้ ดังนั้นหากมีการสรรหา กก.สิทธิฯขึ้นใหม่ กสม.ไทยก็อาจถูกปรับขึ้นสถานะจาก“บี”เป็น “เอ”เช่นเดิมด้วย"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวานนี้ (11เม.ย.) นางอังคณา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า เมื่อวานมีมิตรสหาย รวมถึงสื่อมวลชน ถามไถ่เข้ามามากมาย เรื่องคำแถลงท่านประธาน กสม. ข้อ 6. ทีแรกยอมรับว่า ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เนื่องจากเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของท่านประธานฯ แต่พอถูกถามมากเข้า และฟังเหมือนว่า มีผู้เข้าใจว่า คำแถลงข้อ 6. อาจเป็นไปได้ ที่จะหมายถึง กสม.อังคณา จึงขอแบ่งปันความเห็นต่อเรื่องนี้
"บอกตรงๆ จากทีแรกที่ไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้เริ่มกังวลว่า เรื่องนี้อาจเป็นการใช้ # คำพูดที่สร้างความเกลียดชัง (#HateSpeech)ต่อตัวเอง ในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ กสม. ก็หวังว่าจะไม่ลุกลามจนกลายเป็นการล่าแม่มด นะคะ แค่นี้ก็อยู่ยากมากแล้วค่ะ" นางอังคณา กล่าว