อีกไม่กี่วันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะอยู่ในตำแหน่งครบ 100 วันแรกแล้ว และเป็นระยะเวลาที่สังคมการเมืองสหรัฐฯ มองว่ามีความหมายมากเพื่อประเมินผลงานในช่วงนี้ มีความสำเร็จน่าประทับใจประชาชน หรือสร้างความสับสนวุ่นวายกับนโยบายกับการปฏิบัติ
นักวิเคราะห์อเมริกันได้ประกาศ “ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีเต็มตัวแล้ว” เหมือนประชด หลังจากได้สั่งให้เรือรบยิงจรวดโทมาฮอว์ก 59 ลูกถล่มฐานบินของกองทัพอากาศซีเรีย สร้างความเสียหายให้เครื่องบินรบไม่กี่ลำ ชาวบ้านและทหารตายไม่ถึง 20 คนเท่านั้น
แถมยังบอกอีกว่าการตัดสินใจทันด่วนเพราะต้องการดิ้นรนหาผลงานเจ๋งๆ ให้เข้าตาประชาชนในช่วงการทำงาน 100 วันแรก ดังนั้น ต้องหาเหตุที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ประกาศความเป็นผู้นำโดยสั่งขณะที่ต้อนรับแขกเมืองสำคัญ คือประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนด้วย
ประเมินความสำเร็จน่าจะเป็นการแสดงออกให้เห็นความ “ใจถึง” ของทรัมป์ ว่าสั่งการให้เกิดการสู้รบ การสั่งให้ทำลายบ้านเมืองประเทศอื่นๆ หรือสังหารพลเมืองประเทศอื่นถือว่าต้องใจถึงอย่างว่า ภายใต้ข้ออ้างง่ายๆ ว่า “เพื่อผลประโยน์และความมั่นคงของสหรัฐฯ”
ใครทำให้ชาวอเมริกันปัสสาวะไม่คล่อง ท้องผูกอุจจาระไม่ออก อาจยกมาเป็นข้ออ้างได้ทั้งนั้น และข้ออ้างที่ใช้ประจำคือ “เพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรม” ด้วยเหตุนี้เอง การถล่มสนามบินซีเรีย ตัดกำลังกองทัพอากาศทำให้พวกก่อการร้ายไอซิสชอบใจมาก
ทำให้สหรัฐฯ โดยเฉพาะทรัมป์ กลายสภาพเป็นพันธมิตรกับไอซิสโดยปริยาย ตามคำพูดที่ว่า “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” ภาพลักษณ์เช่นนี้พวกสายเหยี่ยวฮาร์ดคอร์ในกลุ่มนักการเมือง ผู้ผลิตอาวุธอเมริกันชอบมาก เพราะความขัดแย้งทำให้รัฐบาลสั่งซื้ออาวุธเพิ่ม
เมื่อควันระเบิดจางลง เริ่มมีการวิเคราะห์โดยพวกร้อนวิชาและกูรูว่า การตัดสินใจของทรัมป์เสี่ยงต่อการถูกประณามแม้พันธมิตรคือประเทศฝรั่งผิวขาว รวมทั้งอิสราเอลและญี่ปุ่นเห็นด้วย ความเป็นจริงก็คือ ทรัมป์ละเมิดกฎหมาย กฎบัตรสากลที่บังคับอยู่ขณะนี้
ทรัมป์อ้างว่าการสั่งถล่มซีเรีย เพราะกองทัพอากาศซีเรียทิ้งระเบิดผสมแก๊สซารินทำให้คนตายกว่า 60 ราย ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานว่าซีเรียได้กระทำ ทรัมป์ไม่รอให้มีการพิสูจน์ และมีข้อสงสัยว่าซีเรียเอาแก๊สซารินมาจากไหน เพราะยูเอ็นยึดเอาไปก่อนหน้านี้หมดแล้ว
ประเด็นสำคัญกองกำลังรัฐบาลซีเรียกำลังเป็นต่อพวกไอซิสและกบฏที่พันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ สนับสนุนด้านอาวุธ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้แก๊สพิษเพื่อให้สหรัฐฯ หาข้ออ้างมาถล่มอย่างที่เกิดขึ้น และทรัมป์ไม่ได้ขอมติจากสหประชาชาติ และสภาคองเกรสด้วย
ทรัมป์ได้สั่งการถล่มซีเรีย ทั้งๆ ที่ได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะไม่เล่นบทตำรวจโลก แถมยังเคยสั่งสอนบารัค โอบามา ว่าไม่ควรเปิดศึกกับกองทัพซีเรียขณะที่กำลังรบอยู่กับขบวนการก่อการร้ายไอซิสซึ่งเป็นปัญหาของหลายกลุ่ม รวมทั้งประเทศในตะวันออกกลาง
ดังนั้น การโจมตีฐานทัพของประเทศมีเอกราช เท่ากับเป็นการประกาศสงคราม
มีการวิเคราะห์ว่าทรัมป์อยากเอาใจกลุ่มอำนาจแฝงเร้น พวก Deep State ซึ่งถูกมองว่าเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ คือพวกข้าราชการประจำ งานข่าวกรองด้านความมั่นคง อุตสาหกรรมผลิตอาวุธ นายธนาคาร ซึ่งมีอิทธิพลเหนือผู้นำรัฐบาล
มีคนรู้ทันบอกอีกว่าเหตุผลที่ทรัมป์สั่งถล่มซีเรียเพราะต้องการกลบข่าวที่เครื่องบินรบของสหรัฐฯ ไปถล่มผิดเป้าหมายในอิรักไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ทำให้ชาวบ้านตายกว่า 200 คน ทรัมป์ไม่ออกมารับผิดชอบแกล้งทำเงียบ ความนิยมของทรัมป์ก็คงอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง
ทรัมป์ต้องการล้างภาพว่าได้อี๋อ๋อกับรัสเซีย ทำให้คนใกล้ชิดโดนสอบสวนว่ามีความสัมพันธ์กับประเทศที่เป็นศัตรู ดังนั้น ต้องหาเหตุตีจาก ซึ่งก็ได้ผล รัสเซียประกาศว่าไม่รับประกันความปลอดภัยเครื่องบินรบของสหรัฐฯ และพันธมิตรที่บินเข้าน่านฟ้าซีเรีย
นอกจากนั้นประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียได้สั่งให้เรือรบพร้อมระบบจรวดต่อสู้อากาศยานไปไว้นอกฝั่งซีเรียด้วย เป็นมาตรการตอบโต้ทันควัน แม้ว่าทรัมป์จะทำเป็นขู่ฟ่อๆ ว่าซีเรียอาจโดนถล่มซ้ำอีก แต่ดูแล้วน่าจะเป็นการส่งเสียงดังลักไก่เท่านั้น
พฤติกรรมพิลึกของทรัมป์ก็คือ แทนที่จะส่งกำลังไปเสริมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กลับสั่งให้กองเรือไปน่านน้ำใกล้เกาหลีเหนือ หลังจากผู้นำ คิม จองอึน จอมเฮี้ยว ประกาศว่าเกาหลีเหนือจำเป็นต้องมีระเบิดนิวเคลียร์เพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ หาเรื่องใช้กำลังโจมตี
ล่าสุด เกิดเรื่องที่ทำให้นักการเมือง การทหารของสหรัฐฯ เกิดแตกตื่นอย่างมาก เมื่อมีข่าวว่ารัสเซียอาจเข้ากุมอำนาจในการบริหารบริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ ชื่อ “ซิทโก้” ซึ่งจะเป็นการเปิดช่องให้รัสเซียมีโอกาสได้เข้ามามีบทบาทมากในธุรกิจพลังงานในสหรัฐอเมริกา
การเข้ามานั้น ไม่ได้เข้ามาโดยตรงบริษัท “รอสเนฟต์” ของรัสเซีย ได้รับจำนำหุ้น 49.9 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท “ซิทโก้” จากผู้ถือหุ้นคือบริษัทน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลา ซึ่งได้นำหุ้นไปจำนำไว้เพราะรัฐบาลมีวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก พลเมืองอดอยาก ขาดอาหาร
ถ้าบริษัทน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลา “เปโตรลีออส เดอ เวเนซุเอลา” (PDVSA) ไม่สามารถมาจ่ายไถ่ถอนหุ้นที่จำนำไว้ได้ทันบริษัท “รอสเนฟต์” ย่อมดีใจยิ่งกว่าลิงได้แก้ว เพราะให้เข้าสู่วงการธุรกิจน้ำมันในสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
นักการเมืองอเมริกันก็เต้นโวยวายให้รัฐบาลหาทางออกโดยไวก่อนที่บริษัทน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลาจะเสียความเป็นเจ้าของหุ้นบริษัท “ซิทโก้” ซึ่งได้ถือครองมาตั้งแต่ช่วงปี 1980 ปัจจุบันบริษัท “ซิทโก้” ผลิตน้ำมันดิบได้วันละ 8 แสนบาร์เรลต่อวัน นับว่าไม่น้อย
ต้องรอดูว่าบริษัท PDVSA จะหาเงินมาจ่ายคืนหนี้บางส่วนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้หรือไม่ ถ้าครบกำหนดสิ้นปีแล้วไม่มีจ่าย จะเป็นโอกาสเหมาะของรัสเซียเพื่อเอาคืนเจ็บๆ
นักวิเคราะห์อเมริกันได้ประกาศ “ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีเต็มตัวแล้ว” เหมือนประชด หลังจากได้สั่งให้เรือรบยิงจรวดโทมาฮอว์ก 59 ลูกถล่มฐานบินของกองทัพอากาศซีเรีย สร้างความเสียหายให้เครื่องบินรบไม่กี่ลำ ชาวบ้านและทหารตายไม่ถึง 20 คนเท่านั้น
แถมยังบอกอีกว่าการตัดสินใจทันด่วนเพราะต้องการดิ้นรนหาผลงานเจ๋งๆ ให้เข้าตาประชาชนในช่วงการทำงาน 100 วันแรก ดังนั้น ต้องหาเหตุที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ประกาศความเป็นผู้นำโดยสั่งขณะที่ต้อนรับแขกเมืองสำคัญ คือประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนด้วย
ประเมินความสำเร็จน่าจะเป็นการแสดงออกให้เห็นความ “ใจถึง” ของทรัมป์ ว่าสั่งการให้เกิดการสู้รบ การสั่งให้ทำลายบ้านเมืองประเทศอื่นๆ หรือสังหารพลเมืองประเทศอื่นถือว่าต้องใจถึงอย่างว่า ภายใต้ข้ออ้างง่ายๆ ว่า “เพื่อผลประโยน์และความมั่นคงของสหรัฐฯ”
ใครทำให้ชาวอเมริกันปัสสาวะไม่คล่อง ท้องผูกอุจจาระไม่ออก อาจยกมาเป็นข้ออ้างได้ทั้งนั้น และข้ออ้างที่ใช้ประจำคือ “เพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรม” ด้วยเหตุนี้เอง การถล่มสนามบินซีเรีย ตัดกำลังกองทัพอากาศทำให้พวกก่อการร้ายไอซิสชอบใจมาก
ทำให้สหรัฐฯ โดยเฉพาะทรัมป์ กลายสภาพเป็นพันธมิตรกับไอซิสโดยปริยาย ตามคำพูดที่ว่า “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” ภาพลักษณ์เช่นนี้พวกสายเหยี่ยวฮาร์ดคอร์ในกลุ่มนักการเมือง ผู้ผลิตอาวุธอเมริกันชอบมาก เพราะความขัดแย้งทำให้รัฐบาลสั่งซื้ออาวุธเพิ่ม
เมื่อควันระเบิดจางลง เริ่มมีการวิเคราะห์โดยพวกร้อนวิชาและกูรูว่า การตัดสินใจของทรัมป์เสี่ยงต่อการถูกประณามแม้พันธมิตรคือประเทศฝรั่งผิวขาว รวมทั้งอิสราเอลและญี่ปุ่นเห็นด้วย ความเป็นจริงก็คือ ทรัมป์ละเมิดกฎหมาย กฎบัตรสากลที่บังคับอยู่ขณะนี้
ทรัมป์อ้างว่าการสั่งถล่มซีเรีย เพราะกองทัพอากาศซีเรียทิ้งระเบิดผสมแก๊สซารินทำให้คนตายกว่า 60 ราย ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานว่าซีเรียได้กระทำ ทรัมป์ไม่รอให้มีการพิสูจน์ และมีข้อสงสัยว่าซีเรียเอาแก๊สซารินมาจากไหน เพราะยูเอ็นยึดเอาไปก่อนหน้านี้หมดแล้ว
ประเด็นสำคัญกองกำลังรัฐบาลซีเรียกำลังเป็นต่อพวกไอซิสและกบฏที่พันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ สนับสนุนด้านอาวุธ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้แก๊สพิษเพื่อให้สหรัฐฯ หาข้ออ้างมาถล่มอย่างที่เกิดขึ้น และทรัมป์ไม่ได้ขอมติจากสหประชาชาติ และสภาคองเกรสด้วย
ทรัมป์ได้สั่งการถล่มซีเรีย ทั้งๆ ที่ได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะไม่เล่นบทตำรวจโลก แถมยังเคยสั่งสอนบารัค โอบามา ว่าไม่ควรเปิดศึกกับกองทัพซีเรียขณะที่กำลังรบอยู่กับขบวนการก่อการร้ายไอซิสซึ่งเป็นปัญหาของหลายกลุ่ม รวมทั้งประเทศในตะวันออกกลาง
ดังนั้น การโจมตีฐานทัพของประเทศมีเอกราช เท่ากับเป็นการประกาศสงคราม
มีการวิเคราะห์ว่าทรัมป์อยากเอาใจกลุ่มอำนาจแฝงเร้น พวก Deep State ซึ่งถูกมองว่าเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” ประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ คือพวกข้าราชการประจำ งานข่าวกรองด้านความมั่นคง อุตสาหกรรมผลิตอาวุธ นายธนาคาร ซึ่งมีอิทธิพลเหนือผู้นำรัฐบาล
มีคนรู้ทันบอกอีกว่าเหตุผลที่ทรัมป์สั่งถล่มซีเรียเพราะต้องการกลบข่าวที่เครื่องบินรบของสหรัฐฯ ไปถล่มผิดเป้าหมายในอิรักไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ทำให้ชาวบ้านตายกว่า 200 คน ทรัมป์ไม่ออกมารับผิดชอบแกล้งทำเงียบ ความนิยมของทรัมป์ก็คงอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง
ทรัมป์ต้องการล้างภาพว่าได้อี๋อ๋อกับรัสเซีย ทำให้คนใกล้ชิดโดนสอบสวนว่ามีความสัมพันธ์กับประเทศที่เป็นศัตรู ดังนั้น ต้องหาเหตุตีจาก ซึ่งก็ได้ผล รัสเซียประกาศว่าไม่รับประกันความปลอดภัยเครื่องบินรบของสหรัฐฯ และพันธมิตรที่บินเข้าน่านฟ้าซีเรีย
นอกจากนั้นประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียได้สั่งให้เรือรบพร้อมระบบจรวดต่อสู้อากาศยานไปไว้นอกฝั่งซีเรียด้วย เป็นมาตรการตอบโต้ทันควัน แม้ว่าทรัมป์จะทำเป็นขู่ฟ่อๆ ว่าซีเรียอาจโดนถล่มซ้ำอีก แต่ดูแล้วน่าจะเป็นการส่งเสียงดังลักไก่เท่านั้น
พฤติกรรมพิลึกของทรัมป์ก็คือ แทนที่จะส่งกำลังไปเสริมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กลับสั่งให้กองเรือไปน่านน้ำใกล้เกาหลีเหนือ หลังจากผู้นำ คิม จองอึน จอมเฮี้ยว ประกาศว่าเกาหลีเหนือจำเป็นต้องมีระเบิดนิวเคลียร์เพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ หาเรื่องใช้กำลังโจมตี
ล่าสุด เกิดเรื่องที่ทำให้นักการเมือง การทหารของสหรัฐฯ เกิดแตกตื่นอย่างมาก เมื่อมีข่าวว่ารัสเซียอาจเข้ากุมอำนาจในการบริหารบริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ ชื่อ “ซิทโก้” ซึ่งจะเป็นการเปิดช่องให้รัสเซียมีโอกาสได้เข้ามามีบทบาทมากในธุรกิจพลังงานในสหรัฐอเมริกา
การเข้ามานั้น ไม่ได้เข้ามาโดยตรงบริษัท “รอสเนฟต์” ของรัสเซีย ได้รับจำนำหุ้น 49.9 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท “ซิทโก้” จากผู้ถือหุ้นคือบริษัทน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลา ซึ่งได้นำหุ้นไปจำนำไว้เพราะรัฐบาลมีวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก พลเมืองอดอยาก ขาดอาหาร
ถ้าบริษัทน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลา “เปโตรลีออส เดอ เวเนซุเอลา” (PDVSA) ไม่สามารถมาจ่ายไถ่ถอนหุ้นที่จำนำไว้ได้ทันบริษัท “รอสเนฟต์” ย่อมดีใจยิ่งกว่าลิงได้แก้ว เพราะให้เข้าสู่วงการธุรกิจน้ำมันในสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
นักการเมืองอเมริกันก็เต้นโวยวายให้รัฐบาลหาทางออกโดยไวก่อนที่บริษัทน้ำมันแห่งชาติเวเนซุเอลาจะเสียความเป็นเจ้าของหุ้นบริษัท “ซิทโก้” ซึ่งได้ถือครองมาตั้งแต่ช่วงปี 1980 ปัจจุบันบริษัท “ซิทโก้” ผลิตน้ำมันดิบได้วันละ 8 แสนบาร์เรลต่อวัน นับว่าไม่น้อย
ต้องรอดูว่าบริษัท PDVSA จะหาเงินมาจ่ายคืนหนี้บางส่วนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้หรือไม่ ถ้าครบกำหนดสิ้นปีแล้วไม่มีจ่าย จะเป็นโอกาสเหมาะของรัสเซียเพื่อเอาคืนเจ็บๆ