ผู้จัดการรายวัน360-กกร.เกาะติดคำสั่งพิเศษ "ทรัมป์" หลังไทยติด 1 ใน 16 ประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ เดินหน้าหารือร่วมทีม "สมคิด" ประเมินผลกระทบและจัดทำมาตรการรับมือ จับตาเฟดขึ้นดอกเบี้ย ทำบาทไทยแข็งค่า ยอมรับปีนี้เศรษฐกิจโลกผันผวนสูง แต่ยังมั่นใจเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3.5-4% คลังยันโจมตีซีเรียไม่กระทบเศรษฐกิจไทย แต่จับตาน้ำมัน-ทองคำราคาพุ่ง ระบุมีมาตรการรับมือพร้อมแล้ว ด้าน "พาณิชย์" เชื่อไม่กระทบ อียิปต์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 3 เดือน
นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร.ได้หารือถึงกรณีคำสั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ (Executive Orders) เรื่องการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีไทยเป็นหนึ่งใน 16 ประเทศที่ถูกระบุว่าเกินดุลกับสหรัฐฯ โดยเห็นว่าอาจสร้างความไม่แน่นอนต่อทิศทางการค้าและการลงทุนในระยะข้างหน้า ดังนั้น จึงมองว่าปี 2560 ในแง่ของเศรษฐกิจโลกน่าจะเป็นปีแห่งความผันผวน จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยประเด็นดังกล่าว ส.อ.ท.ได้หารือกับทีมของนายสมคิดด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีแล้ว และอยู่ระหว่างรวบรวมรายการสินค้าที่มีแนวโน้มอาจได้รับผลกระทบเพื่อส่งให้กับกระทรวงพาณิชย์ในการหามาตรการดำเนินการร่วมกัน
สำหรับรายการสินค้าส่งออกที่อาจจะเข้าข่ายได้รับผลกระทบทางตรง จากประเด็นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD) รวมทั้งสินค้าส่งออกที่ไทยใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ของสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ อาจจะพิจารณาทบทวน ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า , กลุ่มอาหาร , เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ , ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น และยังมีสินค้าที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตในกรณีที่ประเทศคู่ค้าอย่างญี่ปุ่นและจีนถูกตอบโต้ทางการค้าจากสหรัฐฯ ด้วย แต่ขนาดของผลกระทบคงจะขึ้นอยู่กับระดับของมาตรการที่สหรัฐฯ จะนำออกมาใช้ ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไป
นายเจนกล่าวว่า สิ่งที่ต้องติดตามใกล้ชิด คือ ท่าทีของสหรัฐฯ ที่มีต่อคู่ค้า และอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับค่าเงินบาทของไทย โดยค่าเงินบาทแข็งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน แข็งค่าขึ้น 3.7% มากที่สุดในภูมิภาค แข็งค่ารองจากเงินเยนญี่ปุ่นที่แข็งค่า 5.4% ดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่า 3.4% เงินริงกิต มาเลเซียแข็งค่า1.2% เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น 0.7% แต่ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน ทาง กกร. ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่จะโต 3.5-4% รวมทั้งการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 1-3%
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นที่ซีเรียและสถานการณ์เกาหลีเหนือล่าสุด ภาคเอกชนมองว่า ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย
นายกฤษฏา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีซีเรียว่า จะไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่ สศค. ได้ติดตามเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยประเด็นที่เห็นว่าต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ ผลกระทบต่อราคาทองคำและราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ไม่น่าห่วง เพราะกระทรวงการคลังได้เตรียมมาตรการต่างๆ ไว้รับมือกับทุกเหตุการณ์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางการเงิน มาตรการทางการคลัง ตลอดจนมาตรการภาษี ซึ่งขึ้นอยู่กับฝ่ายนโยบายว่าจะตัดสินใจเลือกใช้มาตรการใด
ส่วนกรณีที่มีการออกมาคาดการณ์กันว่าสหรัฐฯ เตรียมเปิดฉากโจมตีเกาหลีเหนือนั้น ขณะนี้ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ซึ่งคงต้องติดตามเหตุการณ์ในลำดับถัดไปก่อน จึงยังไม่สามารถประเมินอะไรได้
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดสงครามในซีเรีย ระยะสั้น คงจะมีผลกระทบเฉพาะราคาน้ำมันกับทองคำ ที่ปรับเพิ่มขึ้นทันทีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่หากมองแง่ดี จะทำให้สินค้าส่งออกของไทยที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ราคาดีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ผลในเชิงลบ อาจทำให้การค้าขาย การลงทุนโลก ชะลอตัว และมีความตึงเครียดเกิดขึ้น เนื่องจากการขาดความมีเสถียรภาพในเศรษฐกิจโลก และการที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนและราคาสินค้า ซึ่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศเพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังฟื้นตัว
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อานวยการสานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังคงประเมินการส่งออกไทยปีนี้ที่ 3-3.5% อยู่ตามเดิม และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.5-2.2% บนพื้นฐานว่า ราคาน้ำมันอยู่ระหว่าง 50-60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งมองว่าการที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ยังไม่น่ามีผลต่อการคาดการณ์ทั้งสองด้าน เพราะยังอยู่ในช่วงที่ประมาณการณ์ไว้
วันเดียวกันนี้ ประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ของอียิปต์ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 3 เดือน หลังเกิดเหตุโจมตีโบสถ์คริสต์นิกายคอปติด 2 แห่งในอียิปต์ เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอส ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 44 ราย และบาดเจ็บอีกกว่าร้อยคน
โดยคำประกาศภาวะฉุกเฉินดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่จำเป็นต้องมีหมายจับ และยังสามารถตรวจค้นบ้านของผู้ต้องสงสัยได้อีกด้วย แต่มาตรการดังกล่าวจะต้องได้รับการรับรองโดยรัฐสภาก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ และสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีการบังคับใช้มาตรการประกาศภาวะฉุกเฉิน
ด้านสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ แจ้งว่า ไม่มีคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดทั้ง 2 ครั้งแต่อย่างใด
นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร.ได้หารือถึงกรณีคำสั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ (Executive Orders) เรื่องการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีไทยเป็นหนึ่งใน 16 ประเทศที่ถูกระบุว่าเกินดุลกับสหรัฐฯ โดยเห็นว่าอาจสร้างความไม่แน่นอนต่อทิศทางการค้าและการลงทุนในระยะข้างหน้า ดังนั้น จึงมองว่าปี 2560 ในแง่ของเศรษฐกิจโลกน่าจะเป็นปีแห่งความผันผวน จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยประเด็นดังกล่าว ส.อ.ท.ได้หารือกับทีมของนายสมคิดด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีแล้ว และอยู่ระหว่างรวบรวมรายการสินค้าที่มีแนวโน้มอาจได้รับผลกระทบเพื่อส่งให้กับกระทรวงพาณิชย์ในการหามาตรการดำเนินการร่วมกัน
สำหรับรายการสินค้าส่งออกที่อาจจะเข้าข่ายได้รับผลกระทบทางตรง จากประเด็นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD) รวมทั้งสินค้าส่งออกที่ไทยใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ของสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ อาจจะพิจารณาทบทวน ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า , กลุ่มอาหาร , เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ , ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น และยังมีสินค้าที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตในกรณีที่ประเทศคู่ค้าอย่างญี่ปุ่นและจีนถูกตอบโต้ทางการค้าจากสหรัฐฯ ด้วย แต่ขนาดของผลกระทบคงจะขึ้นอยู่กับระดับของมาตรการที่สหรัฐฯ จะนำออกมาใช้ ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไป
นายเจนกล่าวว่า สิ่งที่ต้องติดตามใกล้ชิด คือ ท่าทีของสหรัฐฯ ที่มีต่อคู่ค้า และอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับค่าเงินบาทของไทย โดยค่าเงินบาทแข็งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน แข็งค่าขึ้น 3.7% มากที่สุดในภูมิภาค แข็งค่ารองจากเงินเยนญี่ปุ่นที่แข็งค่า 5.4% ดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่า 3.4% เงินริงกิต มาเลเซียแข็งค่า1.2% เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น 0.7% แต่ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน ทาง กกร. ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่จะโต 3.5-4% รวมทั้งการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 1-3%
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นที่ซีเรียและสถานการณ์เกาหลีเหนือล่าสุด ภาคเอกชนมองว่า ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย
นายกฤษฏา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีซีเรียว่า จะไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่ สศค. ได้ติดตามเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยประเด็นที่เห็นว่าต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ ผลกระทบต่อราคาทองคำและราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ไม่น่าห่วง เพราะกระทรวงการคลังได้เตรียมมาตรการต่างๆ ไว้รับมือกับทุกเหตุการณ์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางการเงิน มาตรการทางการคลัง ตลอดจนมาตรการภาษี ซึ่งขึ้นอยู่กับฝ่ายนโยบายว่าจะตัดสินใจเลือกใช้มาตรการใด
ส่วนกรณีที่มีการออกมาคาดการณ์กันว่าสหรัฐฯ เตรียมเปิดฉากโจมตีเกาหลีเหนือนั้น ขณะนี้ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ซึ่งคงต้องติดตามเหตุการณ์ในลำดับถัดไปก่อน จึงยังไม่สามารถประเมินอะไรได้
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดสงครามในซีเรีย ระยะสั้น คงจะมีผลกระทบเฉพาะราคาน้ำมันกับทองคำ ที่ปรับเพิ่มขึ้นทันทีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่หากมองแง่ดี จะทำให้สินค้าส่งออกของไทยที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ราคาดีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ผลในเชิงลบ อาจทำให้การค้าขาย การลงทุนโลก ชะลอตัว และมีความตึงเครียดเกิดขึ้น เนื่องจากการขาดความมีเสถียรภาพในเศรษฐกิจโลก และการที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนและราคาสินค้า ซึ่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศเพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังฟื้นตัว
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อานวยการสานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังคงประเมินการส่งออกไทยปีนี้ที่ 3-3.5% อยู่ตามเดิม และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.5-2.2% บนพื้นฐานว่า ราคาน้ำมันอยู่ระหว่าง 50-60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งมองว่าการที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ยังไม่น่ามีผลต่อการคาดการณ์ทั้งสองด้าน เพราะยังอยู่ในช่วงที่ประมาณการณ์ไว้
วันเดียวกันนี้ ประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ของอียิปต์ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 3 เดือน หลังเกิดเหตุโจมตีโบสถ์คริสต์นิกายคอปติด 2 แห่งในอียิปต์ เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอส ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 44 ราย และบาดเจ็บอีกกว่าร้อยคน
โดยคำประกาศภาวะฉุกเฉินดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่จำเป็นต้องมีหมายจับ และยังสามารถตรวจค้นบ้านของผู้ต้องสงสัยได้อีกด้วย แต่มาตรการดังกล่าวจะต้องได้รับการรับรองโดยรัฐสภาก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ และสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีการบังคับใช้มาตรการประกาศภาวะฉุกเฉิน
ด้านสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ แจ้งว่า ไม่มีคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดทั้ง 2 ครั้งแต่อย่างใด