อืมม์ม์ม์...เห็นว่าเตรียมทยอยลาออกกันแล้ว นับเป็นสิบๆ หลังพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญปีพุทธศักราช 2560 จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ สปท.เห็นว่าประมาณ 20 สนช.ตามมาอีก 10 ส่วนจริง-ไม่จริง คงต้องไปถาม “ทนายวันชัย สอนศิริ” สมาชิก สปท.กันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ...นับจากนี้บรรยากาศการเมืองน่าจะเริ่มเปลี่ยนๆไปจากตลอดช่วง 2 ปีที่แล้วอยู่ตามสมควร...
คือน่าจะออกอาการ “เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ” ถี่ขึ้นและมากขึ้นตามลำดับ ด้วยเหตุเพราะมันเป็น “ธรรมชาติทางการเมือง” ของระบบและระบอบ ที่ต้องเข้าสู่จุดเปลี่ยนจากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตย จากแต่งตั้งไปสู่เลือกตั้ง ความจำเป็นต้อง “พูด” มันเลยย่อมเพิ่มความสำคัญไม่น้อยไปกว่าความจำเป็นต้อง “ทำ” จนเผลอๆ...อาจ “พูด” โดยไม่คิดจะ “ทำ” หรือไม่ต้องสนใจว่า “ทำได้-ไม่ได้” เอาเลยก็ยังได้ รวมไปถึงการ “ต่อเส้น-ต่อสาย” หรือถ้าจะเรียกแบบสุภาพๆ ให้ชัดเจนขึ้นมาหน่อย ก็คือ “การผสมพันธุ์” ระหว่างเสือ-สิงห์-กระทิง-แรด-สมเสร็จ-กระซู่ ฯลฯ ที่หนีไม่พ้นต้องรูดซิป ปลดซิป ซอยยิกๆ ระหว่างกันและกันไปตามสภาพ...
บรรดา “เซียนการเมือง” หรือผู้ที่พอเข้าใจ “ธรรมชาติทางการเมือง” ในลักษณะที่ว่า...เขาเลยต่าง “มองข้ามช็อต” ถึงไหนต่อไหนไปแล้วก็ไม่รู้ คือไม่ว่าจะ “เลือกตั้งที่รัก” กันในต้นปี กลางปีที่จะถึง แต่บางรายถึงกับ “ฟันธง” ชนิดธงหักเป็นด้ามๆ ว่า ยังไงๆ “ป.ประยุทธ์” ย่อมต้องมาอยู่แล้วแน่ๆ ส่วนจะมาในแบบเอา “สุดารัตน์” และ “เสี่ยหนู” ค้ำเป็นเสาหลัก บวกกับวุฒิสมาชิกแต่งตั้งอีก 250 หรือจะมาในแบบขอให้กรุณาโยก “อภิสิทธิ์” ไปเป็นประธานสภาฯ โดยมี “เสี่ยหนู” ตามประกบติด ฯลฯ อันนั้นต้องเรียกว่า...เถียงกันชนิดหมดไวน์เป็นลังๆ เอาเลยก็มี
ภายใต้แนวโน้มบรรยากาศที่คงเป็นไปในรูปนี้...จึงอาจต่างไปจากช่วงเพิ่งเริ่มยึดอำนาจ หรือช่วงรัฐประหารใหม่ๆ ที่ใครต่อใครต่างมุ่งความสนใจไปยังเรื่องระดับคอขาดบาดตาย ที่มีแต่ต้องอาศัยการ “ทำ” เป็นหลัก คือเรื่องปฏิร่ง ปฏิรูป อะไรต่อมิอะไรเป็นแผงๆ ไม่ว่าจะปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปสงฆ์ ปฏิรูปพลังงาน ปฏิรูปสื่อ ปฏิรูปนักการเมือง ฯลฯ ชนิดผู้ตั้งตนเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ต้องมือสั่น ขาสั่น กันไปไม่น้อยในบางช่วง บางระยะ...
แต่ก็นั่นแหละ...หลังจากเด้งเชือก ฉากหลบ ตัดเวที ใช้ความเป็น “บ็อกเซอร์” ประคองตัวรอดมาได้ตลอดช่วงระยะ 2 ปี เกือบ 3 ปีเข้าไปแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...บางอย่างมันก็พอเป็น “รูป” อยู่บ้าง แต่บางอย่าง...ก็อาจออกไปทาง “รูด” แล้วรูดอีก หรือบางครั้งก็แค่ปลดซิปเอาไว้เฉยๆ สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า...จึงคงไม่ใช่แค่เรื่องใครจะพูดอะไรกันอีกต่อไป หรือใครจะผสมพันธุ์กับใครกันต่อไป แต่น่าจะเป็นเรื่องว่า “ใคร” ที่มีศักยภาพพอจะ “ปฏิรูป” แต่ละสิ่งแต่ละอย่าง ซึ่งถูกพูดซ้ำ พูดซากมานานแล้ว ให้พอเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้จริงๆ...
และโดย “ข้อเท็จจริงทางการเมือง” ตาม “ธรรมชาติทางการเมือง” แบบไทยๆ อีกนั่นแหละ ที่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า บรรดาผู้ที่เชี่ยวชาญในการพูด หรือบรรดาพวก “นักการเมือง” ทั้งหลาย น่าจะยังไม่มีขีดความสามารถพอที่จะ “ทำ” หรือพอที่จะ “ปฏิรูป” โดยอาศัยศักยภาพของตัวเองล้วนๆ ไม่ว่าจะ “ผสมพันธุ์” กันในอีท่าไหน แบบไหน โดยโครโมโซม ดีเอ็นเอ มันคงต้องออกมาในแนวแบบเดิมๆ คือแบบเขี้ยวยาว ติดสปริง เกล็ดแตกลายงา มีปีกงอก แถมพ่นไฟได้ด้วย อะไรประมาณนั้น ดังนั้น...แม้ว่าระบอบการเมืองในอนาคตจะถูกออกแบบให้สามารถ “ผสมข้ามสายพันธุ์” กันได้ก็ตาม แต่มันคงไม่ถึงกับน่าสนใจอะไรมากมาย ว่ารูปร่าง หน้าตามันจะ “กลายพันธุ์” ออกไปในแนวไหน จะเป็นนกมีหู เป็นหนูมีปีก หรือเป็นแมวสีอะไรก็ตามแต่ สำคัญอยู่ที่ว่าขอเพียงให้มัน “จับหนูได้” ก็เป็นพอ!!!
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...บรรดาผู้ที่ตั้งความหวังเอาไว้กับ “การปฏิรูป” ทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ต้องอาศัย “สติ” และ “ปัญญา” ในการเคลื่อนไหว ผลักดัน เพื่อให้การพูดกลายเป็นการกระทำ ให้การรูดไป-รูดมา สามารถนำไปสู่การปฏิรูปได้อย่างจริงๆ จังๆ แต่ยังต้องอาศัย “ขันติธรรม” หรือความอดทน อดกลั้น ในการกำหนดท่าที กำหนดระยะต่อ-ระยะเคียง ต่อ “ธรรมชาติทางการเมือง” และ “ข้อเท็จจริงทางการเมือง” ที่มันยังคงดำรงอยู่และกำลังจะเป็นไปในอนาคตข้างหน้า อย่างละเอียด ประณีต สุขุม รอบคอบ ควบคู่ไปด้วย อย่าถึงกับไปเพ้อๆ ฝันๆ มองอะไรแบบบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา จนเกินไป ถึงจะยึดมั่น ยึดถือ ในอุดมคติ อุดมการณ์อันสูงส่งเพียงใดก็ตามแต่ แต่ก็อย่าลืม “วาทะ” ที่นักคิด นักปราชญ์ ยุคโบร่ำโบราณ ท่านเคยได้เอ่ยเตือนเอาไว้ประมาณว่า... “An idealist is one who, on noticing that rose smells better than cabbage, concludes that it will also make better soup.” หรือที่ “อาจารย์กรุณา กุศลาสัย”ท่านถอดความเอาไว้ว่า “นักอุดมคติ ก็คือผู้ที่เห็นว่ากุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมกว่ากะหล่ำปลี เลยสรุปว่า กุหลาบคงจะเอามาทำซุปได้ดีเป็นแน่” นั่นแล...