เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2560 มีโอกาสไปเที่ยวงาน “วันหลักเมืองนาข่า” ต.นาข่า อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เห็นหมู่ญาติจากปะหลานพยัคฆ์ จตุรพักตรพิมาน สุวรรณภูมิ สตึก กรุงเทพฯ มารวมกันที่นาข่าพยัคฆ์ รู้สึกว่าบรรยากาศวันนั้นคึกคักเป็นพิเศษ
ท่ามกลางอากาศร้อน แต่หัวใจชุ่มเย็น เพราะได้เห็นตัวละครในปัจจุบันนี้มันย้อนไปข้างหลัง และก้าวไปข้างหน้า มองเผินๆ มันแยกกันอยู่ หากมองในมิติลึกๆ มันคืออันหนึ่งอันเดียวกัน
ประวัติศาสตร์
ย่อมให้ความหมายแตกต่างกันไป ตามที่คิดเอาเอง จำคนอื่นมาบ้าง
ประวัติศาสตร์คืออดีตก็ใช่ ประวัติศาสตร์คือปัจจุบันก็ใช่ ประวัติศาสตร์คืออนาคตก็ใช่
ทางพุทธ บอกว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน อดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ก็ใช่อีกนั่นแหละ
อะไรๆ ก็ใช่ทั้งนั้น ก็มันแค่ความคิดปรุงแต่งเท่านั้นเอง
แล้วฉันคิดอย่างไร?
ฉันคิดว่า...ประวัติศาสตร์คือปัจจุบัน ที่ส่งผลให้มีอดีต และให้มีอนาคต
ปัจจุบัน คือรากเหง้า หรือต้นตอของทุกสิ่งทุกอย่าง
ใครจะว่าถูกก็ใช่ ใครจะว่าผิดก็ใช่ มันก็แค่ความคิดปรุงแต่งตามสมมติเช่นนั้นเอง
สมมติเป็นอะไร ก็เล่นให้มันสมบทบาท ผิดก็คือผิด แต่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่า มันคือสมมติ
ฉลาดตื่นรู้
ประวัติศาสตร์ทำให้ฉลาด ทำให้ตื่นรู้เชียวหรือ?
มองพื้นๆ ผิวๆ ใครเรียนประวัติศาสตร์ ก็เพื่อการตกงานในอนาคต
ผู้สนใจประวัติศาสตร์ ก็มีแต่พวกผู้เฒ่าเล่าความหลัง จมอยู่ในอดีต อะไรประมาณนั้น
ก็จริงอยู่ แต่มันผิวเผินไง!
มันเหมือนคลื่นในมหาสมุทร ที่คนคิดพื้นๆ จะเห็นว่าคลื่นกับมหาสมุทรเป็นสองสิ่งที่แยกกันอยู่ มันจริงหรือเปล่าล่ะ?
เปล่าเลย จริงๆ แล้วคลื่นกับมหาสมุทรเป็นสิ่งเดียวกัน เกิดคลื่นได้ก็เพราะลม ลมหมด คลื่นก็หมด กลับคืนสู่สภาพเดิม คือมหาสมุทรอันเงียบสงบ
ประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน ประวัติศาสตร์แท้คือมหาสมุทร ประวัติศาสตร์เทียมคือคลื่น
ดังนั้น ประวัติศาสตร์มันจึงอยู่ในทุกกระบวนศาสตร์ ทำให้ศาสตร์ต่างๆ ดำรงอยู่ได้ มิใช่เพียงแค่ผู้เฒ่าเล่าความหลัง หรือเรียนแล้วตกงานเท่านั้น
คนจำนวนไม่น้อยมักมองคำว่า “ฉลาด” ในแง่ลบว่า “ฉลาดแกมโกง”
เป็นไปได้ไง ฉลาดกับโกง มันอยู่กันคนละขั้ว ฉลาดคือบุญ โกงคือบาป
ประวัติศาสตร์ทำให้ฉลาดและตื่นรู้ ได้จริงหรือ?
จริงซิ ถ้าเข้าใจ-เข้าถึงคำว่า ฉลาด และตื่นรู้จริงๆ
ฉลาด คือกรรมที่เป็นกุศล หรือกรรมดี (กุศลกรรม) ซึ่งมี อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นรากเหง้า (กุศลมูล)
ส่วนกรรมที่เป็นอกุศล หรือกรรมชั่ว (อกุศลมูล) ซึ่งมีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นรากเหง้า (อกุศลมูล)
การรู้ทันกรรมทั้งสองอย่าง คือภาวการณ์ตื่นรู้
ผู้ตื่นรู้ ย่อมไม่ทำกรรมชั่ว จะทำแต่กรรมดี แต่ก็อยู่กับกรรมชั่วได้ เหมือนบัวบานในกองไฟ
ผู้ตื่นรู้ที่สูงขึ้นไป ย่อมอยู่เหนือทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ชีวิตจึงดำรงอยู่ด้วยความสงบและเบิกบาน
ผู้ตื่นรู้ที่สุดยอดจริงๆ คือผู้ที่เข้าถึงภาวะแห่งปรมานุตตรสุญญตา-ความว่างสูงสุดไม่มีอะไรยิ่งกว่า
ทุกสิ่งเป็นครู
งั้นหมูหมากาไก่ ก็เป็นครูได้ละซิ รวมทั้งโจรผู้ร้าย คนกินบ้านผลาญเมือง แล้วสังคมจะอยู่ได้อย่างไร?
สังคมอยู่ได้ ถ้าเข้าใจ-เข้าถึงคำว่า “ครู”
ครูมี 3 ประเภท
1. ครูชั่ว เขาบอกเราให้รู้ว่า ความชั่วเป็นอย่างไร รู้แล้วก็อย่าทำตามครูชั่ว
2. ครูดี เขาสอนเราให้รู้จักความดี ว่าเป็นอย่างไร รู้แล้วก็ทำอย่างครูดี
3. ครูเหนือดี เหนือชั่ว เขาสอนเราให้รู้จัก นี่คือสมมติ นี่คือวิมุตติ นี่คือสังขาร นี่คือวิสังขาร รู้แล้วก็พินิจพิจารณาด้วยตนเองว่า เราจะเอาอย่างไร จะอยู่ตรงเส้นรอบวงตลอดไป หรือจะอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง
การพินิจพิจารณาคือปัญญา ดังสโลแกนที่ว่า “สิ่งทั้งมวลล้วนเป็นครู ถ้ารู้คิดพินิจธรรม”
ย่อมอยู่เบิกบาน
“ชีวิตคือ การเดินทางออกจากบ้าน แล้วกลับบ้าน”
เราดำรงอยู่ในโลกนี้ ก็เหมือนกับเรามาทัวร์มาเที่ยว เขากำหนดให้แต่ละคนอยู่ที่นี่ประมาณ 100 ปี คนไปเที่ยวเขาแบกทุกข์ไหม? เปล่าเลย เขาไปหาความสนุกสนาน เพลิดเพลินเจริญใจ แต่บางคนยังไม่ถึงกำหนด ก็กลับบ้านเสียแล้ว บางคนถึงกำหนดก็ขออยู่ต่ออีกนิดหน่อย
ชีวิตคนเราเหมือนเลข 1 ถึงเลข 9
ก่อนจะมีเป็นเลข 1 มาจากอะไร และหลังเลข 9 ไปไหน ก็ไปบ้านเก่า หรือความว่างนั่นเอง
เมื่อรู้ความจริง มันเป็นเช่นนี้หนอ ก็อยู่แบบเบิกบาน ทุกข์ก็เบิกบาน สุขก็เบิกบาน ไม่ทุกข์ไม่สุขก็เบิกบาน
พระพุทธเจ้าก็คือพุทธะ
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ตื่น เบิกบาน
พระพุทธเจ้า ทรงดำรงอยู่อย่างเบิกบาน เพราะพระองค์ทรงตื่นรู้แล้ว
ทำไมพวกเราไม่เอาอย่างพระองค์ท่าน ขนาดท่านเป็นบรมครูของเรา เรายังไม่ชำเลืองแลเลย กระนั้นหรือ?
*อะเมซิ่งจริงๆ มนุษย์เนี่ย ขนาดยกตัวเองว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง แต่วัตรปฏิบัติไม่ฉลาดเลย รู้ว่ามันหนัก ก็ยังแบกอยู่นั่นแหละ วางลงไม่เป็น
หลับยืน ตื่นรู้ เป็นของคู่กัน หลับยืนเป็นเรื่องของคนโง่ ตื่นรู้เป็นเรื่องของคนฉลาด ทั้งหลับยืนและตื่นรู้ มันเป็นสองด้านของชีวิตหนึ่ง เหมือนสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน
“รู้-เห็น-เป็น-ธรรม” เช่นนี้เบิกบานแน่ ชีวิตคนเราก็แค่หนึ่งถึงเก้า
“ประวัติศาสตร์
ฉลาดตื่นรู้
ทุกสิ่งเป็นครู
ย่อมอยู่เบิกบาน”
ที่ว่ามาเขียนมา มันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ตรงไหน?
มันเป็นประวัติศาสตร์ทุกส่วน ทุกอณู นั่นแหละ
ประวัติศาสตร์คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันคือก้อนเส้าชีวิต ขาดก้อนใดก้อนหนึ่ง ก็ดำรงอยู่ไม่ได้ หรืออยู่ไปก็ไลฟ์บอย เพราะไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ตนเองและคนอื่น
อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันคือประวัติศาสตร์ มันคือรากเหง้าของเราเอง จะทำให้มันเจริญหรือทำให้มันเสื่อม มันเป็นเรื่องของแต่ละคน ดูเองก็เห็นเอง ถ้าไม่รู้จักดู แล้วจะเห็นได้อย่างไร?
ท่ามกลางอากาศร้อน แต่หัวใจชุ่มเย็น เพราะได้เห็นตัวละครในปัจจุบันนี้มันย้อนไปข้างหลัง และก้าวไปข้างหน้า มองเผินๆ มันแยกกันอยู่ หากมองในมิติลึกๆ มันคืออันหนึ่งอันเดียวกัน
ประวัติศาสตร์
ย่อมให้ความหมายแตกต่างกันไป ตามที่คิดเอาเอง จำคนอื่นมาบ้าง
ประวัติศาสตร์คืออดีตก็ใช่ ประวัติศาสตร์คือปัจจุบันก็ใช่ ประวัติศาสตร์คืออนาคตก็ใช่
ทางพุทธ บอกว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน อดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ก็ใช่อีกนั่นแหละ
อะไรๆ ก็ใช่ทั้งนั้น ก็มันแค่ความคิดปรุงแต่งเท่านั้นเอง
แล้วฉันคิดอย่างไร?
ฉันคิดว่า...ประวัติศาสตร์คือปัจจุบัน ที่ส่งผลให้มีอดีต และให้มีอนาคต
ปัจจุบัน คือรากเหง้า หรือต้นตอของทุกสิ่งทุกอย่าง
ใครจะว่าถูกก็ใช่ ใครจะว่าผิดก็ใช่ มันก็แค่ความคิดปรุงแต่งตามสมมติเช่นนั้นเอง
สมมติเป็นอะไร ก็เล่นให้มันสมบทบาท ผิดก็คือผิด แต่ก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่า มันคือสมมติ
ฉลาดตื่นรู้
ประวัติศาสตร์ทำให้ฉลาด ทำให้ตื่นรู้เชียวหรือ?
มองพื้นๆ ผิวๆ ใครเรียนประวัติศาสตร์ ก็เพื่อการตกงานในอนาคต
ผู้สนใจประวัติศาสตร์ ก็มีแต่พวกผู้เฒ่าเล่าความหลัง จมอยู่ในอดีต อะไรประมาณนั้น
ก็จริงอยู่ แต่มันผิวเผินไง!
มันเหมือนคลื่นในมหาสมุทร ที่คนคิดพื้นๆ จะเห็นว่าคลื่นกับมหาสมุทรเป็นสองสิ่งที่แยกกันอยู่ มันจริงหรือเปล่าล่ะ?
เปล่าเลย จริงๆ แล้วคลื่นกับมหาสมุทรเป็นสิ่งเดียวกัน เกิดคลื่นได้ก็เพราะลม ลมหมด คลื่นก็หมด กลับคืนสู่สภาพเดิม คือมหาสมุทรอันเงียบสงบ
ประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน ประวัติศาสตร์แท้คือมหาสมุทร ประวัติศาสตร์เทียมคือคลื่น
ดังนั้น ประวัติศาสตร์มันจึงอยู่ในทุกกระบวนศาสตร์ ทำให้ศาสตร์ต่างๆ ดำรงอยู่ได้ มิใช่เพียงแค่ผู้เฒ่าเล่าความหลัง หรือเรียนแล้วตกงานเท่านั้น
คนจำนวนไม่น้อยมักมองคำว่า “ฉลาด” ในแง่ลบว่า “ฉลาดแกมโกง”
เป็นไปได้ไง ฉลาดกับโกง มันอยู่กันคนละขั้ว ฉลาดคือบุญ โกงคือบาป
ประวัติศาสตร์ทำให้ฉลาดและตื่นรู้ ได้จริงหรือ?
จริงซิ ถ้าเข้าใจ-เข้าถึงคำว่า ฉลาด และตื่นรู้จริงๆ
ฉลาด คือกรรมที่เป็นกุศล หรือกรรมดี (กุศลกรรม) ซึ่งมี อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นรากเหง้า (กุศลมูล)
ส่วนกรรมที่เป็นอกุศล หรือกรรมชั่ว (อกุศลมูล) ซึ่งมีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นรากเหง้า (อกุศลมูล)
การรู้ทันกรรมทั้งสองอย่าง คือภาวการณ์ตื่นรู้
ผู้ตื่นรู้ ย่อมไม่ทำกรรมชั่ว จะทำแต่กรรมดี แต่ก็อยู่กับกรรมชั่วได้ เหมือนบัวบานในกองไฟ
ผู้ตื่นรู้ที่สูงขึ้นไป ย่อมอยู่เหนือทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ชีวิตจึงดำรงอยู่ด้วยความสงบและเบิกบาน
ผู้ตื่นรู้ที่สุดยอดจริงๆ คือผู้ที่เข้าถึงภาวะแห่งปรมานุตตรสุญญตา-ความว่างสูงสุดไม่มีอะไรยิ่งกว่า
ทุกสิ่งเป็นครู
งั้นหมูหมากาไก่ ก็เป็นครูได้ละซิ รวมทั้งโจรผู้ร้าย คนกินบ้านผลาญเมือง แล้วสังคมจะอยู่ได้อย่างไร?
สังคมอยู่ได้ ถ้าเข้าใจ-เข้าถึงคำว่า “ครู”
ครูมี 3 ประเภท
1. ครูชั่ว เขาบอกเราให้รู้ว่า ความชั่วเป็นอย่างไร รู้แล้วก็อย่าทำตามครูชั่ว
2. ครูดี เขาสอนเราให้รู้จักความดี ว่าเป็นอย่างไร รู้แล้วก็ทำอย่างครูดี
3. ครูเหนือดี เหนือชั่ว เขาสอนเราให้รู้จัก นี่คือสมมติ นี่คือวิมุตติ นี่คือสังขาร นี่คือวิสังขาร รู้แล้วก็พินิจพิจารณาด้วยตนเองว่า เราจะเอาอย่างไร จะอยู่ตรงเส้นรอบวงตลอดไป หรือจะอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง
การพินิจพิจารณาคือปัญญา ดังสโลแกนที่ว่า “สิ่งทั้งมวลล้วนเป็นครู ถ้ารู้คิดพินิจธรรม”
ย่อมอยู่เบิกบาน
“ชีวิตคือ การเดินทางออกจากบ้าน แล้วกลับบ้าน”
เราดำรงอยู่ในโลกนี้ ก็เหมือนกับเรามาทัวร์มาเที่ยว เขากำหนดให้แต่ละคนอยู่ที่นี่ประมาณ 100 ปี คนไปเที่ยวเขาแบกทุกข์ไหม? เปล่าเลย เขาไปหาความสนุกสนาน เพลิดเพลินเจริญใจ แต่บางคนยังไม่ถึงกำหนด ก็กลับบ้านเสียแล้ว บางคนถึงกำหนดก็ขออยู่ต่ออีกนิดหน่อย
ชีวิตคนเราเหมือนเลข 1 ถึงเลข 9
ก่อนจะมีเป็นเลข 1 มาจากอะไร และหลังเลข 9 ไปไหน ก็ไปบ้านเก่า หรือความว่างนั่นเอง
เมื่อรู้ความจริง มันเป็นเช่นนี้หนอ ก็อยู่แบบเบิกบาน ทุกข์ก็เบิกบาน สุขก็เบิกบาน ไม่ทุกข์ไม่สุขก็เบิกบาน
พระพุทธเจ้าก็คือพุทธะ
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ตื่น เบิกบาน
พระพุทธเจ้า ทรงดำรงอยู่อย่างเบิกบาน เพราะพระองค์ทรงตื่นรู้แล้ว
ทำไมพวกเราไม่เอาอย่างพระองค์ท่าน ขนาดท่านเป็นบรมครูของเรา เรายังไม่ชำเลืองแลเลย กระนั้นหรือ?
*อะเมซิ่งจริงๆ มนุษย์เนี่ย ขนาดยกตัวเองว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง แต่วัตรปฏิบัติไม่ฉลาดเลย รู้ว่ามันหนัก ก็ยังแบกอยู่นั่นแหละ วางลงไม่เป็น
หลับยืน ตื่นรู้ เป็นของคู่กัน หลับยืนเป็นเรื่องของคนโง่ ตื่นรู้เป็นเรื่องของคนฉลาด ทั้งหลับยืนและตื่นรู้ มันเป็นสองด้านของชีวิตหนึ่ง เหมือนสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน
“รู้-เห็น-เป็น-ธรรม” เช่นนี้เบิกบานแน่ ชีวิตคนเราก็แค่หนึ่งถึงเก้า
“ประวัติศาสตร์
ฉลาดตื่นรู้
ทุกสิ่งเป็นครู
ย่อมอยู่เบิกบาน”
ที่ว่ามาเขียนมา มันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ตรงไหน?
มันเป็นประวัติศาสตร์ทุกส่วน ทุกอณู นั่นแหละ
ประวัติศาสตร์คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันคือก้อนเส้าชีวิต ขาดก้อนใดก้อนหนึ่ง ก็ดำรงอยู่ไม่ได้ หรืออยู่ไปก็ไลฟ์บอย เพราะไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ตนเองและคนอื่น
อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันคือประวัติศาสตร์ มันคือรากเหง้าของเราเอง จะทำให้มันเจริญหรือทำให้มันเสื่อม มันเป็นเรื่องของแต่ละคน ดูเองก็เห็นเอง ถ้าไม่รู้จักดู แล้วจะเห็นได้อย่างไร?