ผ่านไปแต่ละวัน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา เริ่มมุ่งทำตัวผิดแปลกแหวกประเพณีปฏิบัติมากขึ้น นอกจากพูดจาแบบขวานผ่าซาก พูดไม่เข้าหูคนแล้ว ยังมีพฤติกรรมสวนกระแสสังคม สวนกระแสโลกมากขึ้น แน่นอนจำนวนศัตรูก็ย่อมเพิ่มขึ้นด้วย
ทรัมป์มักทำอะไรแบบไม่แคร์ใคร ที่ผ่านมาก็ทำตัวเป็นมหาเศรษฐี ปากก็ว่าพยายามช่วยเหลือคนจน แต่ละนโยบายล้วนแต่สร้างศัตรู ทำลายมิตร ทั้งในประเทศและนอกประเทศ เช่น องค์การสนธิสัญญานาโต เป็นต้น ทำตัวเป็นขาใหญ่คุกคามชาวบ้าน
ถ้าอยู่ในโรงเรียน พฤติกรรมทรัมป์จัดอยู่ในประเภท “Bully Boy” หรือ “พี่เอื้อย” ทำตัวชอบข่มขู่รุ่นน้องเด็กในห้องเดียวกัน จะว่าทรัมป์เอาใจประชาชนอเมริกันด้วยนโยบายแกว่งปากหาเรื่อง แกว่งเท้าหาเสี้ยนเพื่อชาติหรือไม่นั้น ต้องรอผลกระทบสุดท้ายที่จะเกิด
หลังจากมีข้อครหาว่าทรัมป์ปล่อยให้ลูกสาวคนโปรด “อิวองกา” ได้อภิสิทธิ์เดินเข้านอกออกในทำเนียบขาว ทั้งๆ ที่ไม่มีหน้าที่ ไม่เป็นพนักงาน คราวนี้ทรัมป์วางแผนจะใช้นโยบาย “อุปถัมภ์” ครอบครัวอย่างเต็มแรงเหวี่ยง นั่นคือให้ “อิวองกา” เป็นพนักงานรัฐ
แน่นอน พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมเป็นยาเสริมพลังกระตุ้นขบวนการปากหอยปากปูทั้งในและทำเนียบขาว ต้องดูว่าแม่นางอิวองกาจะกรีดกรายสร้างความหมั่นไส้นอกเหนือจากความเป็น “เซเลบ” หรือ “คนดัง” ทำให้มีแรงต่อต้านฝีมือแฟชั่นของนางก่อนหน้านี้หรือไม่
นี่ยังไม่นับความยุ่งยากของทรัมป์ที่จะต้องฝ่าด่าน ส.ส. และ ส.ว.ในการขับเคลื่อนนโยบายและกฎหมายต่างๆ ในขณะที่กระแสหมั่นไส้ ขัดขา และต่อต้านยังแรงไม่หยุด แต่กระนั้น ทรัมป์ยังเชื่อว่าผลสุดท้ายความอหังการไม่กลัวใครจะฝ่าอุปสรรคทั้งมวลไปได้แน่
แต่มันบ่แน่หรอกนาย! ล่าสุดทรัมป์ลงนามโละนโยบายและมาตรการลดภาวะโลกร้อนตามสนธิสัญญาปารีส โดยอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ซึ่งต้องการปิดโรงงานไฟฟ้าใช้พลังงานถ่านหินที่มีอยู่ เลิกแผนที่จะสร้างโรงใหม่ เพื่อสนับสนุน “พลังงานสะอาด”
ขณะที่ทรัมป์ลงนามยกเลิกมาตรการเพื่อพลังงานสะอาดนั้น ผู้นำปากไวได้นั่งอยู่กลางกลุ่มเจ้าของธุรกิจพลังงานและพนักงานเหมืองถ่านหิน ซึ่งยิ้มแย้มแจ่มใส แถมยังประกาศให้พวกคนงานเหมืองถ่านหินว่า “พรรคพวก นี่ไง! มีงานทำอย่างเดิมแล้ว”
เป็นการสวนกระแสโลกจริงๆ ยังไม่ทันหมึกจากปากกาทรัมป์ที่เซ็นจะแห้งสนิท ผู้เชี่ยวชาญของยูเอ็นด้านพลังงานและภาวะโลกร้อนก็บอกว่านโยบายของทรัมป์สุ่มเสี่ยงที่จะนำพาปัญหาโลกร้อนไปสู่จุดวิกฤตร้ายแรงที่เกินกว่าจะมีมาตรการแก้ไขเยียวยาได้อีก
ความพยายามภายใต้ข้อตกลงแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนคือ ต้องไม่ให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มเกิน 3.6 องศา ถ้าเกินเลยนั้น กระบวนการของปัญหาจะเดินหน้า เกิดความปั่นป่วนซึ่งจะนำไปสู่สภาวะแปรปรวนของอากาศ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ความแห้งแล้ง
ที่สำคัญก็คือ ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศจะส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหารในโลกขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้น ขีดความสามารถในการเกษตรกรรมจะลดลง คำถามที่จะเกิดขึ้นทันทีก็คือท่าทีของบรรดาประเทศใหญ่ซึ่งสร้างปัญหาภาวะโลกร้อน
ประเทศสหรัฐฯ เป็นผู้บริโภคพลังงานอันดับหนึ่งของโลก เมื่อยกเลิกมาตรการเพื่อลดภาวะโลกร้อนแล้ว จีน อินเดีย บราซิล จะทำอย่างไรต่อไป ประเทศเหล่านี้ใช้พลังงานมากโดยเฉพาะถ่านหินเพื่ออุตสาหกรรม ขณะที่มีแรงกดดันให้ปฏิบัติตามสนธิสัญญาปารีส
ยังมีความหวังว่าอย่างน้อยที่สุด หลายประเทศจะยังไม่ละทิ้งนโยบายพลังงานทางเลือกเพื่อลดสภาวะโลกร้อน สนธิสัญญาปารีสเป็นผลของการเจรจาต่อรองยืดเยื้อระหว่างโอบามา และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน เพื่อลดการปล่อยไอความร้อน
เมื่อทรัมป์แหวกแนว ไม่ยอมทำตามสัญญา อาจเป็นแบบอย่างให้ประเทศอื่นๆ ด้วยการไม่ใส่ใจมาตรการลดภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งกำลังมีการยื้อกันอย่างแรงต่อเนื่องในเรื่องแผนการใช้พลังงานถ่านหินในโรงผลิตไฟฟ้าที่กระบี่ และสงขลา
กว่าจะตกลงกันได้ก็แทบหืดจับ เมื่อทรัมป์มาโละทิ้งนโยบายนี้ ย่อมทำให้จีนไม่สบอารมณ์ด้วยเพราะเจรจากันแทบตาย สิ้นเปลืองเวลาการเดินทางของเจ้าหน้าที่และผู้นำทั้งสองประเทศ รวมทั้งความพยายามโน้มน้าวให้ประเทศอื่นๆ คล้อยตามแนวทางนี้ด้วย
ทรัมป์แสบจริงๆ มองตัวเองว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ ชอบที่จะทำตัวเป็นเจ้าโลกเหมือนเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ปนความระแวงว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ ผู้นำสหรัฐฯ คนนี้อาจทำอะไรห่ามๆ ท้าทาย ยั่วยุมหาอำนาจอื่น จนนำไปสู่สงครามโลกก็ได้
ทรัมป์ก็จะพบปะเจรจากับผู้นำจีนสัปดาห์หน้านี้และทรัมป์จะรับรอง สี จิ้นผิง ใช้ที่รีสอร์ตส่วนตัว “มาร์-อา-ลาโก” ในฟลอริดา นี่ก็แสดงให้เห็นอีกว่าทรัมป์ไม่ละโอกาสที่จะตีกินโดยใช้สถานที่ส่วนตัวรับแขกเสมอๆ เพื่อเป็นการโฆษณาธุรกิจของตัวเองทางอ้อมด้วย
เอาแบบเพื่อนนักธุรกิจการเมืองจากประเทศไทยอย่างแรง จนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นงานของรัฐ อะไรเป็นงานส่วนตัว จนลามไปถึงการใช้ทรัพย์สินของรัฐและของตัวเองก่อนหน้านี้ สี จิ้นผิง ได้ประกาศว่าจะยึดติดนโยบายลดภาวะโลกร้อน และเคารพต่อสนธิสัญญาอย่างจริงจัง มีเป้าหมายให้บรรลุแผนข้อตกลงภายในปี 2030 ให้ได้ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่สัญญาหลักเช่นนี้ อาจทำให้แผนของจีนล่าช้ากว่าเดิม
จีนมีแผนลดจำนวนโรงงานไฟฟ้าพลังงานถ่านหินด้วยการปิดโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ ระงับการสร้างใหม่ ไปใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ โดยตระหนักว่าจีนเป็นผู้ใช้พลังงานถ่านหินมากและสร้างปัญหาอากาศเป็นพิษ ทั้งปัญหาหมอกควันพิษมีผลกระทบต่อเมืองหลวงทุกปี
ชาวอเมริกันและชาวโลกจะมองทรัมป์ด้วยสายตาระแวงกว่าเดิมหรือไม่ ต้องรอดู