xs
xsm
sm
md
lg

เก็บภาษี"แม้ว"ยากกว่าเข็นครกขึ้นเขา รีด 1.7 หมื่นล้าน รอชาติหน้า !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ก่อนถึงวันเส้นตายครบอายุความ 10 ปี สำหรับการเรียกเก็บภาษี ทักษิณ ชินวัตร จากการขายหุ้นชินคอร์ปเมื่อต้นปี 2549 จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท ให้กับกลุ่มทุนเทมาเส็ก ของสิงคโปร์ โดยล่าสุดมีรายงานออกมาว่า การประเมินภาษีรวมค่าปรับที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาทแล้ว ซึ่งกรมสรรพากร ได้ส่งหนังสือนัดหมายให้ ทักษิณ ชินวัตร หรือตัวแทน มารับทราบการประเมินภาษีดังกล่าว ในวันที่ 27 มี.ค.นี้
หากรายงานข่าวดังกล่าวเป็นจริงตามนั้น ก็ถือว่าสรรพากรได้สรุปผลการประเมินภาษีที่ตามข่าวบอกว่าได้ส่งหนังสือใบประเมินภาษีไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยนัดหมายให้มารับทราบในวันที่ 27 มี.ค.
**ดังนั้นก็ถือว่า กระบวนการอายุความ 10 ปี ที่จะครบในวันที่ 31 มี.ค.60 ก็ต้องยืดออกไปตามขั้นตอนกฎหมาย นั่นคือ ไม่มีเรื่องอายุความให้กังวลอีกแล้ว
"ยังไม่รับทราบเหมือนกัน ว่าการประเมินภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าไร เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมดำเนินการ ซึ่งก็ขอให้ดำเนินการโดยยึดตามระเบียบกฎหมาย และไม่ได้เข้าไปแทรกแซง ยืนยันว่าผมในฐานะข้าราชการ ขอทำหน้าที่อยางดีที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ"
นั่นเป็นคำพูดสั้นๆ ของ ประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ที่ก่อนหน้านี้เก็บตัวเงียบมาตั้งนาน ซึ่งล่าสุดก็ไม่ได้ฟันธงอะไร แค่บอกว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายประเมินภาษีเป็นผู้พิจารณา ส่วนตัวเขาก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นท่าทีแบบ "ตามน้ำ" ที่ออกตัวสวยที่สุด เพราะส่วนหนึ่งทำให้ฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร เห็นว่า "ตัวเองไม่เกี่ยว" เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ เป็นคนจัดการ
เรียกว่า "ระวังตัวแจ" เพราะแทนที่จะพูดให้ชัดไปเลยว่า "ผมสั่งให้ดำเนินการตามกฎหมายและตามอำนาจหน้าที่" แต่นี่กลายเป็นว่า "กั๊กๆ" ยังไงพิกล แบบนี้จะให้เทเสียงหนุน มันก็ยังไงอยู่ เพราะทำให้เข้าใจว่า ต้องทำตามผลการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายเมื่อวันที่ 10 มี.ค. และ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่มี วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายเป็นประธาน และสั่งให้ดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนหมดอายุความ 10 ปี ภายในวันที่ 31 มี.ค. ดังกล่าว ทั้งที่ตามข่าวคนที่คัดค้านก็คืออธิบดีกรมสรรพากรคนนี้แหละ อ้างว่า "ทำไม่ได้" หรือ "มันจบไปแล้ว" อย่างไรก็ดี หากจะให้เครดิตก็ได้แค่ว่า จากผลการประเมินภาษีดังกล่าวทำให้ "ปัญหาและความกังวลเรื่องอายุความ" หมดไปทันที
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวกรมสรรพากรได้ข้อสรุปการประเมินเรียกเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป จากนายทักษิณแล้ว โดยคิดเป็นจำนวนเงินภาษีพร้อมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม รวมกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท โดยใช้แนวทางการประเมินการซื้อหุ้นราคาต่ำกว่าราคาตลาด ในช่วงที่บริษัทแอมเพิลริช ขายหุ้นให้นอมินี ของอดีตนายกรัฐมนตรีในราคาหุ้นละ 1 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดตอนนั้นที่อยู่ที่ 49.25 บาท ต่อหุ้น
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจะได้เงินภาษีจาก ทักษิณ ชินวัตร ภายในวันสองวันนี้ เพราะเมื่อยื่นใบประเมินภาษีแล้วแจ้งให้มารับทราบในวันที่ 27 มี.ค. เพื่อให้ยืนยันว่ายินดีจ่ายตามตัวเลขที่ประเมินไปหรือไม่ หรือว่าคัดค้าน แล้วยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการทางศาล ตั้งแต่ศาลภาษีอากรกลาง ไปจนถึงศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร ซึ่งก็ลองทายเล่นๆ ดูเอาว่า ทักษิณ จะยอมจ่ายง่ายๆ หรือว่าอุทธรณ์แล้วเข้าสู่ชั้นศาล แน่นอนว่าต้องเป็นอย่างหลัง และเชื่อว่ายังพ่วงฟ้องเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรไปด้วย อะไรประมาณนี้แหละ
ตอนนี้ก็เริ่มเห็นการเคลื่อนไหวของพวกลูกน้องที่พยายามออกมาสกัดกั้น หรือข่มขู่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ไม่ให้ดำเนินการเก็บภาษีจาก ทักษิณ ชินวัตร อ้างว่า "หมดอายุความ" ไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว คำถามก็คือ สิ่งที่คนพวกนี้สู้ในตอนนี้คือ "คดีหมดอายุความ" เป็นหลัก แทนที่จะเป็นเรื่องที่ยืนยันว่า "เก็บภาษีไม่ได้" หรือ สรรพากรไม่มีสิทธิเก็บภาษี เพราะเป็นการขายในตลาด ในทำนองนี้ แทนที่จะเป็นประมาณว่า "เป็นคนไทยยินดีจ่ายภาษี" ให้เป็นตัวอย่าง
**แต่นี่กลายเป็นพยายามหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนพวกนี้ก็มีแต่เรื่อง "ซุกหุ้น เลี่ยงภาษี" มาตลอดอยู่แล้ว
ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวเท่าที่เห็นในตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะสามารถเก็บภาษีได้ภายในวัน สองวันนี้ เพราะเชื่อว่ากว่าจะไปถึงชั้นศาล ก็ต้องใช้เวลายื้อกันนานนับเดือน และในชั้นศาล ก็น่าจะไปถึงศาลฎีกาฯ ก็ใช้เวลาอีกเป็นปีๆ ไม่รู้ว่าใครตายก่อน
แต่สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือ กรณีภาษีของ ทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวนี้ หากย้อนกลับไปพิจารณามันก็เกิดคำถามว่า ทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้ทุกที มีแต่เรื่อง "ซุกหุ้น" ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ เข้ามาบริหารประเทศก็มีเรื่อง "ผลประโยชน์ทับซ้อน" ทุจริต ฉ้อฉล
ขณะเดียวกัน มันก็มีคำถามตามมาอีกว่า ทุกครั้งที่เกิดเรื่องราวอื้อฉาวดังกล่าว มันก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐคอยอำนวยความสะดวกตามรับใช้ทุกครั้ง ไม่ต่างจากกรณีภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ป เมื่อปี 2549 หากไม่สมคบกันฉ้อฉล พยายามเลี่ยงกฎหมาย ละโมบ มันก็คงไม่มีเรื่องให้น่ารำคาญใจ ในทางตรงกันข้ามหากเจ้าหน้าที่ทำตามขั้นตอนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ต้องสนใจว่าเป็นภาษีของใคร ปัญหาก็ไม่เกิด แล้วก็ไม่ต้องติดคุกสังเวย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นภาพสะท้อนความ "ด้อยพัฒนา"
**ทำให้อธิบายถึงสาเหตุในการเก็บภาษีของคนพวกนี้ว่าทำไมถึงได้ยากเย็นกันนัก และสำหรับรายการล่าสุดที่ตามข่าวบอกว่ากรมสรรพากรประเมินภาษีรวมค่าปรับไว้ที่ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาทนั้น ตามขั้นตอนแล้วมันยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา อาจต้องรอถึง "ชาติหน้า" ก็ได้ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น