ตั๋วครู คือ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู คนที่เรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกในสาขาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ครุศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์ ถ้าอยากป็นครูโรงเรียนรัฐบาลต่อให้มีความรู้ดี สอนเก่งแค่ไหน ก็เป็นครูไม่ได้ เพราะไม่มีตั๋วครู
อยากได้ตั๋วครูต้องเรียน ป.บัณฑิต คือ ประกาศนียบัตรบัณฑิตอีก 1 ปี เพื่อนำไปขอตั๋วครูจากคุรุสภา โดยจะต้องสอบวัดมาตรฐานด้านต่างๆ อีกหลายๆ มาตรฐานด้วย ไม่ใช่ได้ ป.บัณฑิตแล้วจะได้ตั๋วครูเลย
ส่วนผู้ที่เรียนครูมาโดยตรงซึ่งใช้เวลา 5 ปีจะได้ตั๋วครูโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องสอบ ไม่ต้องวัดผลว่า มีความรู้ ความสามารถพอที่จะสอนเด็กได้ไหม เพราะเชื่อว่าหลักสูตรสร้างครูของมหาวิทยาลัยต่างๆ มีคุณภาพดีอยู่แล้ว ผ่านภาคปฏิบัติ คือ การฝึกสอนมาแล้ว ซึ่งความเป็นจริง เป็นอย่างที่เชื่อหรือไม่ คุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว
สมัยก่อนคนที่อยากเป็นครู แม้ว่าจะไม่ได้เรียนครูมาโดยตรง ก็สามารถไปสมัครสอบกับกระทรวงศึกษาธิการได้ ถ้าสอบผ่าน มีอัตราว่างก็จะได้รับการบรรจุเป็นครู
โรงเรียนที่มีชื่อเสียงหลายๆ แห่งจึงมีครูที่จบมาจากคณะวิทยาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ซึ่งมีความรู้เฉพาะทางในสาขาที่เรียนมาอย่างลึกซึ้ง และรอบด้าน สามารถถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ได้ นักเรียนจึงเรียนหนังสืออย่างเข้าใจ และด้วยความอยากเรียนเพราะศรัทธาในตัวผู้สอน
หลัง พ.ศ. 2546 ความเป็นครูถูกทำให้เป็นอาชีพควบคุม เมื่อมีการออกกฎหมาย พ.ร.บ.สภาครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 กำหนดให้ “ครู” เป็นวิชาชีพที่จะต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ต้องไปขอตีตั๋วครูจากคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการ กระทรวงศึกษาธิการ อาจารย์ นักวิชาการด้านการศึกษา
การกำหนดมาตรฐานวิชาชีพครูว่าต้องมีใบอนุญาต เป็นเจตนาที่ดี เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2542 ที่ต้องการพัฒนาคุณภาพของครูเพื่อจะได้สอนเด็กให้อ่านออก เขียนได้ คิดเป็น แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้น
คุณภาพการศึกษาของไทยนับตั้งแต่มีการปฏิรูปการศึกษารอบแรก เมื่อพ.ศ. 2542 ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ผลการทดสอบใดๆ ทั้งในระดับชาติ และระดับสากล เด็กไทยอยู่ท้ายตารางมาโดยตลอด แม้แต่ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ ผลการสอบโอเน็ต เด็กไทยก็ยังสอบตก
สิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้การปฏิรูประบบการศึกษาคือ เรามีสถาบันผลิตครูเป็นจำนวนมากกว่า 100 แห่ง แต่ละปีมีผู้จบครูหลายหมื่นคน แต่ก็มีปัญหาการขาดแคลนครูในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ต้องเอาครูที่ไม่ได้มีความรู้ในวิชาเหล่านี้มาสอนแทน ในขณะที่คนที่เก่งคณิตศาสตร์ เก่งภาษาอังกฤษอยากเป็นครู แต่เป็นไม่ได้เพราะไม่มีตั๋วครู
การเป็นครูสำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนจบครูมา ถูกทำให้ยุ่งยากซับซ้อน มีขั้นตอนต่างๆ มากมาย ในขณะที่ครูพอจะมีความรู้สอนเด็กได้ เพราะเป็นครูด้วยจิตวิญญาณก็ทยอยเกษียณอายุไปเรื่อยๆ
นโยบายการปลดล็อกตั๋วครู คือ อนุญาตให้ผู้ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาใดๆ ก็ได้ สอบแข่งขันเป็นครูได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูก่อน ให้ไปสอบเอาใบอนุญาตทีหลังได้ มีที่มาจากความต้องการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูในบางวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ฯลฯ
ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นคือ นายจาตุรนต์ ฉายแสง เคยคิดจะปลดล็อกตั๋วครู แต่ถูกกระแสต่อต้านจากครูในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ครูโดยเฉพาะในต่างจังหวัดเป็นฐานคะแนนสำคัญสำหรับการเมืองแบบเลือกตั้ง ความเป็นครูทำให้เป็นที่เคารพของผู้ปกครอง และคนในสังคมท้องถิ่น ครูจึงเป็นหัวคะแนนตามธรรมชาติ นักการเมืองไม่กล้าขัดใจครูเพราะกลัวแพ้เลือกตั้ง
รัฐบาล คสช.มาจากการยึดอำนาจไม่ต้องพึ่งครูเป็นฐานคะแนน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ไม่ใช่ครู แต่เป็นหมอที่สนใจ และทำงานด้านการศึกษามานานจึงกล้าปลดล็อกตั๋วครู โดยเปิดให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สามารถสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วยได้ก่อน เมื่อได้เป็นครูแล้ว จึงค่อยดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อขอใบอนุญาตโดยมีระยะเวลาสองปี หากไม่ได้ใบอนุญาตภายใน 2 ปีจะเป็นครูต่อไปไม่ได้
เหตุผลในการปลดล็อกตั๋วครูก็เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครู ในวิชาสำคัญๆ เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมา คนที่จบครูมีตั๋วครูไม่ค่อยมาสมัครสอบในสาขาวิชาเหล่านี้ จนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจำนวนมาก ต้องเอาครูที่ไม่มีความรู้ในวิชาเหล่านี้โดยตรงมาสอนแทน
กระแสต่อต้านนโยบายปลดล็อกครู ทั้งที่เป็นการแสดงความไม่เห็นด้วยของผู้บริหาร อาจารย์จากสถาบันที่ผลิตครูไปจนถึงการเคลื่อนไหวล่ารายชื่อ 50,000 ชื่อเพื่อไล่ นพ.ธีระเกียรติออกจากตำแหน่ง อ้างเหตุผลว่า การให้ผู้ที่ไม่ได้เรียนครูมาสอบเป็นครู โดยไม่มีใบอนุญาตวิชาชีพ จะทำให้มาตรฐานการสอนไม่มีคุณภาพ ส่งผลกระทบต่อเด็ก เพราะการเป็นครูมีองค์ประกอบอีกหลายๆ อย่าง นอกเหนือจากวิชาการซึ่งมีแต่คนเรียนครูเท่านั้น ที่รู้ดีกว่าคนอื่นๆ
ปัญหาคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในช่วงที่ผ่านมา ที่ความเป็นครูถูกทำให้เป็นอาชีพควบคุมภายใต้ระบบตั๋วครู เป็นข้อเท็จจริงที่คนไทยได้รับรู้ด้วยตัวเองอยู่ทุกวัน ข้ออ้างของบรรดาผู้ที่ต่อต้านเป็นเพียงเหตุผลของคนในวงการศึกษา ที่เกรงว่า ต่อไปนี้จะเกิดการแข่งขัน เกิดการเปรียบเทียบว่า ระหว่างคนที่เรียนครูกับคนที่ไม่ได้เรียนครู ใครคือครูที่ดีที่สอนให้เด็กได้ดี
อยากได้ตั๋วครูต้องเรียน ป.บัณฑิต คือ ประกาศนียบัตรบัณฑิตอีก 1 ปี เพื่อนำไปขอตั๋วครูจากคุรุสภา โดยจะต้องสอบวัดมาตรฐานด้านต่างๆ อีกหลายๆ มาตรฐานด้วย ไม่ใช่ได้ ป.บัณฑิตแล้วจะได้ตั๋วครูเลย
ส่วนผู้ที่เรียนครูมาโดยตรงซึ่งใช้เวลา 5 ปีจะได้ตั๋วครูโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องสอบ ไม่ต้องวัดผลว่า มีความรู้ ความสามารถพอที่จะสอนเด็กได้ไหม เพราะเชื่อว่าหลักสูตรสร้างครูของมหาวิทยาลัยต่างๆ มีคุณภาพดีอยู่แล้ว ผ่านภาคปฏิบัติ คือ การฝึกสอนมาแล้ว ซึ่งความเป็นจริง เป็นอย่างที่เชื่อหรือไม่ คุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว
สมัยก่อนคนที่อยากเป็นครู แม้ว่าจะไม่ได้เรียนครูมาโดยตรง ก็สามารถไปสมัครสอบกับกระทรวงศึกษาธิการได้ ถ้าสอบผ่าน มีอัตราว่างก็จะได้รับการบรรจุเป็นครู
โรงเรียนที่มีชื่อเสียงหลายๆ แห่งจึงมีครูที่จบมาจากคณะวิทยาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ซึ่งมีความรู้เฉพาะทางในสาขาที่เรียนมาอย่างลึกซึ้ง และรอบด้าน สามารถถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ได้ นักเรียนจึงเรียนหนังสืออย่างเข้าใจ และด้วยความอยากเรียนเพราะศรัทธาในตัวผู้สอน
หลัง พ.ศ. 2546 ความเป็นครูถูกทำให้เป็นอาชีพควบคุม เมื่อมีการออกกฎหมาย พ.ร.บ.สภาครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 กำหนดให้ “ครู” เป็นวิชาชีพที่จะต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ต้องไปขอตีตั๋วครูจากคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการ กระทรวงศึกษาธิการ อาจารย์ นักวิชาการด้านการศึกษา
การกำหนดมาตรฐานวิชาชีพครูว่าต้องมีใบอนุญาต เป็นเจตนาที่ดี เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2542 ที่ต้องการพัฒนาคุณภาพของครูเพื่อจะได้สอนเด็กให้อ่านออก เขียนได้ คิดเป็น แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้น
คุณภาพการศึกษาของไทยนับตั้งแต่มีการปฏิรูปการศึกษารอบแรก เมื่อพ.ศ. 2542 ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ผลการทดสอบใดๆ ทั้งในระดับชาติ และระดับสากล เด็กไทยอยู่ท้ายตารางมาโดยตลอด แม้แต่ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ ผลการสอบโอเน็ต เด็กไทยก็ยังสอบตก
สิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้การปฏิรูประบบการศึกษาคือ เรามีสถาบันผลิตครูเป็นจำนวนมากกว่า 100 แห่ง แต่ละปีมีผู้จบครูหลายหมื่นคน แต่ก็มีปัญหาการขาดแคลนครูในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ต้องเอาครูที่ไม่ได้มีความรู้ในวิชาเหล่านี้มาสอนแทน ในขณะที่คนที่เก่งคณิตศาสตร์ เก่งภาษาอังกฤษอยากเป็นครู แต่เป็นไม่ได้เพราะไม่มีตั๋วครู
การเป็นครูสำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนจบครูมา ถูกทำให้ยุ่งยากซับซ้อน มีขั้นตอนต่างๆ มากมาย ในขณะที่ครูพอจะมีความรู้สอนเด็กได้ เพราะเป็นครูด้วยจิตวิญญาณก็ทยอยเกษียณอายุไปเรื่อยๆ
นโยบายการปลดล็อกตั๋วครู คือ อนุญาตให้ผู้ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาใดๆ ก็ได้ สอบแข่งขันเป็นครูได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูก่อน ให้ไปสอบเอาใบอนุญาตทีหลังได้ มีที่มาจากความต้องการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูในบางวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ฯลฯ
ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นคือ นายจาตุรนต์ ฉายแสง เคยคิดจะปลดล็อกตั๋วครู แต่ถูกกระแสต่อต้านจากครูในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ครูโดยเฉพาะในต่างจังหวัดเป็นฐานคะแนนสำคัญสำหรับการเมืองแบบเลือกตั้ง ความเป็นครูทำให้เป็นที่เคารพของผู้ปกครอง และคนในสังคมท้องถิ่น ครูจึงเป็นหัวคะแนนตามธรรมชาติ นักการเมืองไม่กล้าขัดใจครูเพราะกลัวแพ้เลือกตั้ง
รัฐบาล คสช.มาจากการยึดอำนาจไม่ต้องพึ่งครูเป็นฐานคะแนน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ไม่ใช่ครู แต่เป็นหมอที่สนใจ และทำงานด้านการศึกษามานานจึงกล้าปลดล็อกตั๋วครู โดยเปิดให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สามารถสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วยได้ก่อน เมื่อได้เป็นครูแล้ว จึงค่อยดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อขอใบอนุญาตโดยมีระยะเวลาสองปี หากไม่ได้ใบอนุญาตภายใน 2 ปีจะเป็นครูต่อไปไม่ได้
เหตุผลในการปลดล็อกตั๋วครูก็เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครู ในวิชาสำคัญๆ เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมา คนที่จบครูมีตั๋วครูไม่ค่อยมาสมัครสอบในสาขาวิชาเหล่านี้ จนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจำนวนมาก ต้องเอาครูที่ไม่มีความรู้ในวิชาเหล่านี้โดยตรงมาสอนแทน
กระแสต่อต้านนโยบายปลดล็อกครู ทั้งที่เป็นการแสดงความไม่เห็นด้วยของผู้บริหาร อาจารย์จากสถาบันที่ผลิตครูไปจนถึงการเคลื่อนไหวล่ารายชื่อ 50,000 ชื่อเพื่อไล่ นพ.ธีระเกียรติออกจากตำแหน่ง อ้างเหตุผลว่า การให้ผู้ที่ไม่ได้เรียนครูมาสอบเป็นครู โดยไม่มีใบอนุญาตวิชาชีพ จะทำให้มาตรฐานการสอนไม่มีคุณภาพ ส่งผลกระทบต่อเด็ก เพราะการเป็นครูมีองค์ประกอบอีกหลายๆ อย่าง นอกเหนือจากวิชาการซึ่งมีแต่คนเรียนครูเท่านั้น ที่รู้ดีกว่าคนอื่นๆ
ปัญหาคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในช่วงที่ผ่านมา ที่ความเป็นครูถูกทำให้เป็นอาชีพควบคุมภายใต้ระบบตั๋วครู เป็นข้อเท็จจริงที่คนไทยได้รับรู้ด้วยตัวเองอยู่ทุกวัน ข้ออ้างของบรรดาผู้ที่ต่อต้านเป็นเพียงเหตุผลของคนในวงการศึกษา ที่เกรงว่า ต่อไปนี้จะเกิดการแข่งขัน เกิดการเปรียบเทียบว่า ระหว่างคนที่เรียนครูกับคนที่ไม่ได้เรียนครู ใครคือครูที่ดีที่สอนให้เด็กได้ดี