จีนนั้น...เขาคงไม่ได้แค่คิดถมทะเลสร้างเกาะเทียม สร้างที่มั่นทหาร เพียงเพื่อเอาไว้แผ่ขยายอำนาจอิทธิพล สร้างตบะบารมี สร้างความเป็น “พี่เบิ้ม” ในทะเลจีนใต้ อย่างที่นายกรัฐมนตรี “หลี่ เค่อเฉียง” ได้ออกมาย้ำแล้วย้ำอีก ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย “นายมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์” ช่วงการเดินทางไปเยือนออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมาจริงๆ นั่นแหละ เพราะโดย “จุดมุ่งหมายที่แท้จริง” ของจีน เขาน่าจะ “ไปไกล” ยิ่งกว่านั้นเยอะแล้ว...คือไปถึงขั้นกะจะ “เปลี่ยนโลกทั้งโลก” เอาเลยก็ว่าได้...
เนื่องจาก “ทะเลจีนใต้” นั้น...ถือเป็นเพียงแค่ “ส่วนหนึ่ง” หรือองค์ประกอบขั้นต้นของอภิมหาโครงการที่เรียกๆ กันว่า “แนวคิดริเริ่มโครงการเส้นทางสายไหมใหม่” (The New Silk Road Initiative) หรือที่เรียกกันแบบสั้นๆ ย่อๆ ว่า “One Belt, One Road” หรือ “หนึ่งแถบ-หนึ่งเส้นทาง” อะไรประมาณนั้น อันเป็นโครงการที่มุ่งจะรวบรวมเอาพื้นที่เศรษฐกิจทั่วทั้งโลก ทั้งทางบก ทางทะเล เข้ามาสอดประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้เกิดกลุ่มก้อนพันธมิตรที่จะกลายมาเป็น “แกนนำ” ในการ “เปลี่ยนโลกทั้งโลก” หรือ “เปลี่ยนระเบียบโลก” แบบเดิมๆ ให้กลายเป็นระเบียบโลกแบบใหม่ ที่ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของ “เผด็จการดอลลาร์” หรืออำนาจอิทธิพลของคุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตกอีกต่อไป...
และ “จุดมุ่งหมายที่แท้จริง” อันสุดแสนทะเยอทะยานที่ว่านี้...จีนเค้าก็พร้อมที่จะเปิดเผยแบบตรงไป-ตรงมา ไม่ได้คิดแอบจิตใดๆ อีกต่อไป ดังที่ “แชนนอน ทิซซี” (Shannon Tiezzi) นักวิจัยแห่งมูลนิธิ “US-China Policy Foundation” ระบุไว้ในข้อเขียนเรื่อง “Where Is China’s Silk Road Actually Going” ในเว็บไซต์ “The Diplomat” เมื่อไม่นานมานี้ว่า “ปักกิ่งไม่ได้คิดจะขวยเขินใดๆ อีกต่อไปแล้ว ที่จะป่าวประกาศถึงความทะเยอทะยานของโครงการดังกล่าวว่า...คือโครงการที่มุ่งหวังเพื่อที่จะเปลี่ยนภูมิภาคทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกทั้งโลก โดยผ่านกระบวนการพัฒนาบรรดาประเทศต่างๆ ที่อยู่บนเส้นทางดังกล่าวนั่นเอง...”
แม้แต่ตัวผู้นำสูงสุดของจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ก็พร้อมป่าวประกาศแบบเต็มปากเต็มคำ เช่น ระหว่างช่วงครบรอบ 95 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งของคำพูดในสุนทรพจน์ได้ย้ำเอาไว้แบบชัดๆ จะจะว่า... “โลกกำลังอยู่ริมขอบแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เรากำลังเป็นประจักษ์พยานต่อการล้มละลายของกลุ่มประเทศมหาอำนาจอย่าง EU และกำลังได้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จะล่มสลายได้อย่างไร และนี่เอง...ที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ดังนั้น...ในช่วงอีกประมาณ 10 ปีนับจากนี้ เราจะมีโอกาสได้เห็นระเบียบโลกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ โดยมีกุญแจสำคัญที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา นั่นก็คือ...ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับรัสเซีย...”
ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “One Belt, One Road” นี่เอง ที่จีนเค้าคิดนำมาใช้เป็น “กรรมวิธี” ในการเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลก ตามที่ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ว่า... “การอุบัติขึ้นของความคิดริเริ่มในโครงการ One Belt, One Road ของจีนนั้น ไม่ได้มุ่งหวังเพียงเพื่อสร้างความเติบโตให้กับขอบเขตอิทธิพลของจีนโดยลำพัง แต่มุ่งที่จะสนับสนุนการร่วมมือพัฒนาอย่างเท่าเทียมกันของทุกๆ ฝ่าย เราไม่ได้คิดเพียงแต่จะสร้างสวนหลังบ้านให้กับเรา แต่เราต้องการสร้างสวนสาธารณะเพื่อทุกประเทศในโลกนี้” หรือเพื่อหาทางร่วมมือกับประเทศต่างๆ สร้าง “ระเบียบโลก” ขึ้นใหม่ อันเป็นระเบียบโลกที่ “ไม่ควรต้องถูกตัดสินวินิจฉัยโดยประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือแค่กลุ่มประเทศไม่กี่ราย แต่ควรมีที่มาจากรูปคณะกรรมการ ซึ่งเกิดขึ้นบนข้อตกลงนานาชาติ ประชาชนของทุกประเทศควรได้มีส่วนร่วมในการตัดสินวินิจฉัย ว่าระเบียบระหว่างประเทศและการบริหารจัดการโลก จะสามารถยังประโยชน์ให้กับโลกและประชาชนในทุกประเทศได้อย่างไร”
แต่ก็นั่นแหละ...การผลักดัน “จุดมุ่งหมายที่แท้จริง” เหล่านี้ ให้เป็นไปได้โดยตลอดรอดฝั่ง ย่อมหนีไม่พ้นต้องเริ่มต้นกันที่ “ทะเลจีนใต้” อันเป็นจุดเริ่มต้นทางออก-ทางไปของจีนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ และนั่นเอง...ที่เป็นเหตุให้ “เผด็จการดอลลาร์” ทั้งหลาย จึงจำเป็นต้องโดดเข้ามา “ปิดล้อม” หรือไม่ก็ยุแยงตะแคงรั่ว เพื่อให้จุดเริ่มต้นของความพยายามเปลี่ยนโลกทั้งโลกของจีนพังพินาศกันไปตั้งแต่แรก ปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ทุกวันนี้ จึงแทบไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการสร้างเกาะเทียม การถมทะเล การเถียงกันไป-เถียงกันมาในเรื่องดินแดน น่านน้ำ อะไรต่อมิอะไรซักเท่าไหร่ แต่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับ “ทัศนคติ” หรือ “มุมมอง” ของบรรดาประเทศต่างๆ นั่นแหละ ว่าจะมองโลกปัจจุบันและอนาคตไปในแนวไหน???