xs
xsm
sm
md
lg

รวบ8รายโยงโจมตีลอนดอน ISอ้างความรับผิดชอบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน 360 - เกิดเหตุระทึกคนร้ายบุกแทงตำรวจที่อาคารรัฐสภาอังกฤษ ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ติดอาวุธยิงได้รับบาดเจ็บ ตร.อังกฤษเชื่อโยง "ก่อการร้าย" ร้ายแรงสุดในรอบ 12 ปี เผยรวบผู้ต้องสงสัยทันที 8 ราย ผู้นำโลกร่วมประณาม “ควีนอังกฤษ” เสียพระทัย สถานทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย เปิดให้บริการปกติ ตร.จัดสายตรวจดูแลเข้ม

วานนี้ (23 มี.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเหตุการณ์วินาศกรรมสะเทือนขวัญในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยระบุว่า มีคนร้ายขับรถชนผู้คนที่สะพานเวสต์มินสเตอร์ ก่อนขับพุ่งชนรั้วอาคารรัฐสภา และใช้มีดไล่แทงตำรวจ เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ซึ่งเป็นตำรวจ 1 รายที่โดนชายคนร้ายใช้มีดแทงจนเสียชีวิต คือ พลตำรวจ คีธ พาล์มเมอร์ อายุ 48 ปี และมีผู้บาดเจ็บกว่า 40 ราย ในในจำนวนนี้ 8 ราย อาการสาหัส ขณะที่คนร้ายซึ่งเป็นเพศชายได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญ ยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

รายงานข่าวแจ้งว่า เหตุการโจมตีในครั้งนี้ นับเป็นการก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดในอังกฤษ ในรอบ 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2548 ที่กลุ่มพวกอิสลามิสต์ 4 คน จุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตายในระบบขนส่งมวลชนของกรุงลอนดอน คร่าชีวิต 52 ศพ

มาร์ก โรว์ลีย์ รักษาการรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการหน่วยปราบปรามการก่อการร้ายของอังกฤษเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษหลายร้อยนายของอังกฤษได้ทำงานกันตลอดทั้งคืน ในการบุกจู่โจมจับกุมผู้ต้องสงสัยในสถานที่ต่างๆ ถึง 6 แห่ง ทั้งในกรุงลอนดอน, เบอร์มิงแฮม และเมืองอื่นๆ ของประเทศ โดยสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้ว 8 คน เพื่อนำตัวมาสอบปากคำว่ารู้เห็นกับการลงมือก่อเหตุของชายคนร้ายหรือไม่

** อารักขานายกฯผู้ดีพ้นที่เกิดเหตุ

ในระหว่างเกิดเหตุ ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ที่อยู่ภายในอาคารรัฐสภาเปิดเผยว่าได้ยินเสียงดังปังหลายครั้ง และไม่นานหลังจากนั้นช่างภาพของรอยเตอร์คนหนึ่งระบุพบเห็นผู้คนได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 12 ราย บริเวณสะพานเวสต์มินเตอร์ ที่อยู่ติดกับรัฐสภา โดยในภาพถ่ายของเขา พบเห็นผู้คนนอนรวยรินอยู่บนพื้น บางรายมีเลือดออกมากและหนึ่งคนนอนอยู่ใต้รถบัส

“พวกเจ้าหน้าที่ ในนั้นรวมถึงตำรวจติดอาวุธ ยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุ และเราจะจัดการกับกรณีนี้ในฐานะเหตุก่อการร้าย จนกว่าเราจะได้ข้อมูลเป็นอย่างอื่น” ตำรวจนครบาลลอนดอนระบุในถ้อยแถลง

เดวิด ลิดิงตัน ผู้นำสภาล่าง บอกกับส.ส. ว่า "ดูเหมือนตำรวจนายหนึ่งถูกแทง และมือโจมตีถูกตำรวจติดอาวุธยิง" ตามหลังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่รัฐสภา ขณะที่พวกส.ส.ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 หรือ 4 นัด

ตำรวจเปิดเผยกัยลอรา คูเอนส์เบิร์ก ผู้สื่อข่าวของบีบีซี ว่ามีใครบางคนถูกยิงและพวกเจ้าหน้าที่ภายในอาคารรัฐสภาได้รับคำสั่งให้อยู่แต่ภายในที่ทำงานของตนเอง

รายงานข่าวของบีบีซีระบุว่าพบเห็นนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ถูกอารักขาขึ้นรถจากัวร์สีเงิน ตอนที่เกิดเสียงดังคล้ายเสียงปืนดังขึ้นที่รัฐสภาระหว่างเกิดเหตุ และในเวลาต่อมาทางโฆษกทำเนียบนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าเธอ "ปลอดภัยดี" แต่ปฏิเสธยืนยันว่าเธออยู่ที่ไหนในตอนเกิดเหตุ

ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์รายงานว่าพบเห็นตำรวจติดอาวุธจำนวนมาก บางนายถือโล่ป้องกัน ไหลบ่าเข้าไปในอาคารรัฐสภา ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯบอกกับสื่อมวลชน ณ ทำเนียบขาวว่าเขาได้รับฟังสรุปเหตุการณ์ในลอนดอนแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ

** รุมประณามการกระทำต่ำช้า

จากนั้น นายกรัฐมนตรีเธเรซา เมย์ ได้กล่าวประณามการก่อเหตุโจมตีกรุงลอนดอนว่า เป็นการกระทำที่สะท้อนถึง ‘การเจ็บป่วยและต่ำช้า’ ขณะที่ผู้นำทั่วโลกได้แสดงพลังร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับชาวกรุงลอนดอนหลังเกิดเหตุร้าย

“สิ่งที่ดิฉันสามารถยืนยันได้ก็คือ ชายผู้นี้เป็นผู้ที่เกิดในอังกฤษ และเมื่อประมาณหลายปีมาแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกสอบสวนโดย เอ็มไอ 5 ในความสัมพันธ์ซึ่งเป็นที่กังวลกันเกี่ยวกับความคิดรุนแรงสุดโต่ง” เมย์บอกในคำแถลง

“เขาเป็นบุคคลระดับชายขอบ … เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพข่าวกรองในปัจจุบัน ไม่มีข่าวกรองก่อนหน้านี้ใดๆ เกี่ยวกับความตั้งใจของเขาหรือแผนก่อเหตุร้ายคราวนี้” เธอกล่าว พร้อมบอกว่าชื่อของเขาจะได้รับการเปิดเผยเมื่อไม่เป็นผลเสียหายต่อการสอบสวนแล้ว

ขณะที่ นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลแห่งเยอรมนี ประกาศว่า เยอรมนีจะยืนอยู่เคียงข้างสหราชอาณาจักรอย่างมั่นคงและแน่วแน่ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายทุกรูปแบบ

ส่วนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเมย์ เพื่อแสดงความเสียใจและกล่าวยกย่องประสิทธิภาพของหน่วยงานด้านความมั่นคงของยูเคที่รับมือกับสถานการณ์

ด้าน ประธานาธิบดีของจีน สี จิ้นผิง ได้ส่งสาส์นถึงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เพื่อแสดงความเสียใจมายังครอบครัวผู้สูญเสีย บาดเจ็บ และประชาชนอังกฤษ โดยระบุว่า ขอประณามการโจมตีดังกล่าว และประกาศยืนหยัดเคียงข้างอังกฤษเพื่อต่อสู้กับลัทธิก่อการร้าย

"ผู้ก่อการร้ายคือศัตรูร่วมของชุมชนนานาชาติ และจีนขอประณาม ทั้งต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ”

ทั้งนี้ จีนมีความตั้งใจที่จะกระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสหราชอาณาจักร และนานาชาติ โดยจะช่วยร่วมป้องกันความมั่นคงทั้งสองชาติ ตลอดจนระดับโลก

** “ควีน”แถลงการณ์แสดงความเสียพระทัย

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียพระทัยต่อผู้ที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่กรุงลอนดอน

"ข้าพเจ้าขอภาวนา และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงเมื่อวานนี้" แถลงการณ์ระบุ

** IS ประกาศอ้างความรับผิดชอบ

สำนักข่าวอามัคของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) รายงานวันนี้ว่า IS อ้างความรับผิดชอบต่อการโจมตีนอกอาคารรัฐสภาอังกฤษเมื่อวานนี้

"ผู้ก่อเหตุโจมตีเมื่อวานนี้ด้านนอกอาคารรัฐสภาอังกฤษที่กรุงลอนดอนเป็นทหารของกลุ่ม IS โดยเขาได้กระทำการดังกล่าวเพื่อขานรับเสียงเรียกร้องให้เล็งเป้าหมายโจมตีประชาชนของชาติพันธมิตร" สำนักข่าวอามัคระบุ

** กต.เผยคนไทยยังปลอดภัยดี

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ยืนยันว่า เวลานี้คนไทยในกรุงลอนดอนปลอดภัยดี และเว็บไซต์ของสถานทูตได้ออกประกาศแจ้งเตือนถึงมาตรการป้องกันภัยต่างๆ หลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายหน้าอาคารรัฐสภาอังกฤษแล้ว ขณะที่รัฐบาลอังกฤษโดยกระทรวงต่างประเทศยังไม่มีการเชิญทูตจากนานาชาติเข้าชี้แจงถึงเหตุก่อการร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้น และสถานการณ์เข้าสู่ภาวะควบคุมได้

“การก่อการในประเทศยุโรปเกิดขึ้นหลายครั้ง มีการเตือนภัยสำหรับคนไทยและคนทั่วไปอยู่อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าคนไทยในยุโรปเข้าใจสถานการณ์และปรับตัวรับเหตุฉุกเฉินต่างๆได้ และหวังว่าทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยดี” นายดอน กล่าว

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ยังคงต้องรอดูสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น หรือผลกระทบหลังจากนี้อีกระยะ โดยในเวลานี้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเหตุก่อการร้ายจะยุติลง หรือจำกัดวงอยู่เพียงวงแคบหรือไม่ โดยผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือ ทูตพาณิชย์ ประจำกรุงลอนดอน จะต้องดูแลและรายงานสถานการณ์มาให้ส่วนกลางทราบตามหลักการ

ด้าน นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้น ยังไม่ส่งกระทบต่อการค้าระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร เนื่องจากไม่ได้มีการระงับ หรือ หยุดทำการค้า จากทางฝั่งรัฐบาลของอังกฤษออกมา ดังนั้นผลกระทบจึงอาจจะมีเพียง เรื่องความเชื่อมั่นและการท่องเที่ยวของอังกฤษเองมากกว่า โดยในปีที่ผ่านมา ไทยและสหราชอาณาจักรมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 5,867 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

** บช.น.ตรวจ 20 สถานทูตเข้ม

พ.ต.อ.พรชัย ชลอเดช ผกก.สน.ลุมพินี กล่าวถึงมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย ว่า หลังเกิดเหตุทางสถานทูตยังไม่ได้ร้องขอกำลังดูแลเป็นพิเศษ แต่ในส่วนของตำรวจมีมาตรการในการดูแลอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุได้สั่งการให้เพิ่มความถี่ในการออกตรวจตรา มีกำลังทั้งของพื้นที่ และสายตรวจจากกองกำกับการสายตรวจ 191 มาคอยดูแลสอดส่องอยู่แล้ว

“พื้นที่รับผิดชอบของ สน.ลุมพินี มีสถานทูตที่อยู่ในความรับผิดชอบกว่า 20 แห่ง แต่ละแห่งมีมาตรการดูแลอยู่แล้ว ยืนยันว่าหากมีเหตุการณ์ความวุ่นวาย หรือการก่อความรุนแรงเกิดขึ้น ก็พร้อมเข้าระงับเหตุและดูแลความสงบเรียบร้อยได้อย่างทันท่วงที เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ครั้งนี้ หากเทียบกับครั้งที่ผ่านมามีความรุนแรงน้อยกว่า จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก” ผกก.สน.ลุมพินี กล่าว

ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.มงคล อรุณโณ ผบก.น.5 เดินทางไปยังสถานทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทยแล้ว อีกทั้งเมื่อช่วงเช้าตนได้โทรศัพท์ประสานกับผู้ช่วยเอกอัครทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย ฝากความปรารถนาดีของรัฐบาลไทย และคนไทยทุกคนแสดงความเสียใจกับประเทศอังกฤษ และทำให้ทางรัฐบาลประเทศอังกฤษมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูแลความปลอดภัยชาวอังกฤษ และสถานที่ต่างๆที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษให้ดีที่สุด หากต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลช่วยเหลือก็ยินดีช่วย อย่างไรก็ตาม มาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยของรัฐบาล ทั้งทหาร ตำรวจ ยังคงดูแลสถานทูตต่างๆอย่างเต็มความสามารถ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น จึงได้ไปแสดงความเสียใจและให้กำลังใจ ส่วนมีการร้องขอให้ดูแลอะไรบ้างนั้น เท่าที่ได้หารือกันไม่ได้ขอร้องให้ดูแลอะไรเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่ได้แสดงความขอบคุณคนไทยทุกคนที่แสดงความเป็นห่วงเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานทูตอังกฤษ ภายหลังเกิดเหตุก่อการร้ายบริเวณอาคารรัฐสภากรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทยสถานการณ์โดยทั่วไปในเช้าวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติ โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น.ซึ่งพบว่ามีทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาติดต่อทำธุระตามปกติ.
กำลังโหลดความคิดเห็น