การค้าประเวณีหรือการขายบริการทางเพศมิใช่สิ่งใหม่ แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และคงอยู่ในสังคมมนุษย์มานานไม่น้อยกว่า 2,500 กว่าปี จากหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับความไม่เที่ยงของสังขาร และอศุภกัมมัฏฐานคือ การพิจารณาร่างกายว่าเป็นของไม่สวยงาม โดยยกตัวอย่างหญิงนครโสเภณีนางหนึ่งชื่อว่า สิริมา ผู้มีเรือนร่างงดงามเป็นที่ต้องการของบรรดาบุรุษเพศทั้งหลาย แต่จะต้องจ่าย 1,000 กหาปณะ ต่อการได้รับบริการเป็นเวลาหนึ่งราตรี แต่เมื่อนางตายปรากฏว่าไม่มีใครเหลียวมอง
หลักฐานอีกประการหนึ่งที่บ่งบอกว่าโสเภณีได้เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลคือ การบอกเล่าประวัติของหมดชีวก โกมารทัต ว่ามีมารดาเป็นโสเภณี และมีบิดาเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ จึงได้รับการส่งเสริมให้ไปศึกษาวิชาแพทย์จากเมืองตักศิลา มีความเชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นหมอรักษาพระพุทธเจ้าและสาวก
การที่คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงโสเภณี เป็นการยืนยันว่าการค้าประเวณีได้เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ และคงอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เพียงแต่รูปแบบการขายได้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของโลก ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งอนิจจตาคือความไม่เที่ยงเท่านั้น
การค้าประเวณีในสังคมไทยได้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ และมีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างไรนั้น ผู้เขียนยังไม่พบหลักฐานอย่างเป็นทางการพอที่จะนำมาอ้างอิง เฉกเช่นในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
แต่เท่าที่พอจะได้พบเห็นและจดจำได้ในระยะ 50 ปีย้อนหลังคือ จาก พ.ศ. 2501 ถึงปัจจุบัน การค้าประเวณีในเมืองใหญ่เช่น กรุงเทพฯ เป็นต้น มีอยู่อย่างดาษดื่น และให้บริการในหลายรูปแบบ มีตั้งแต่เร่ขายในที่สาธารณะ เช่น สวนลุมพินี และสนามหลวง เป็นต้น โดยยืนแอบข้างเสาไฟฟ้า และใต้ต้นไม้รอให้ผู้ต้องการซื้อมาเรียกใช้บริการในราคาที่ตกลงกันไปจนถึงอยู่ประจำในซ่อง โดยมีแม่เล้าและแมงดาคอยคุม และมีการกำหนดราคาไว้แน่นอน
ต่อมาเมื่อสังคมไทยเจริญขึ้น และเปิดกว้างจึงเปิดโอกาสให้ลัทธิวัตถุนิยม และบริโภคนิยมเข้ามาครอบงำการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมมากขึ้น การค้าประเวณีก็มีการเปลี่ยนแปลงหลากหลาย และซับซ้อนยิ่งขึ้นจากที่เคยเร่ขาย และอยู่ประจำซ่องมาเป็นการขายทางโทรศัพท์ ทางเว็บไซต์ รวมไปถึงการค้าประเวณีในแบบธุรกิจแฝงในอาชีพอื่น เช่น นักร้อง และพนักงานเสิร์ฟในภัตตาคารและสถานบันเทิง เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ การปฏิเสธว่าประเทศไทยไม่มีการค้าประเวณี จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. ในเมืองใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น มีสถานบันเทิง บาร์ สถานอาบอบนวด หรือแม้กระทั่งในภัตตาคารที่มีวงดนตรี เป็นต้น ล้วนแล้วแต่มีธุรกิจค้ากามแฝงอยู่ ทั้งโดยตรงคือสามารถเรียกหาได้อย่างเปิดเผย และโดยอ้อมคือต้องเลียบๆ เคียงๆ ถามกับพนักงานในสถานที่แห่งนั้น
2. ผู้นำเที่ยวหรือไกด์ และคนขับรถรับจ้าง ก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจค้ากาม โดยที่คนสองประเภทนี้ทำหน้าที่ส่งเสริมการขาย โดยการแนะนำนักท่องเที่ยวซึ่งตนเองทำหน้าที่นำเที่ยว และผู้โดยสารให้รู้ว่าที่ใดมีการค้าประเวณี และจะซื้อบริการได้อย่างไร ในสนนราคาเท่าใด เมื่อนักท่องเที่ยวหรือผู้โดยสารแสดงความสนใจ ก็จะรับอาสาพาไป และเรียกรับผลประโยชน์จากสถานประกอบการเป็นรายหัวเรียกว่า ค่าน้ำ
3. นอกจากเป็นธุรกิจแฝงแล้ว การค้าประเวณีในเมืองท่องเที่ยว ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติผู้มาเพื่อแสวงหาความสุขจาก 3S คือ Sea Sand Sun เช่นที่เมืองพัทยา จะมีการค้าประเวณีแบบขายตรง โดยการออกเดินเร่ขายและผู้ค้าประเวณีในลักษณะนี้มีทั้งหญิงแท้ และหญิงเทียม หรือสาวประเภทสอง และผู้ค้าประเวณีประเภทนี้เองทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย เนื่องจากมีการตามตื๊อและยัดเยียดขายก่อความรำคาญ และบางครั้งมีการทำร้ายนักท่องเที่ยว
จากเหตุปัจจัย 3 ประการดังกล่างข้างต้น ประเทศไทยจะนิ่งเฉย ละเลยไม่แก้ไข และปฏิเสธในทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้อีกต่อไป
อะไรคือเหตุให้เกิดปัญหาค้าประเวณี และเหตุที่ว่านี้ป้องกันมิให้เกิดได้หรือไม่ และถ้าป้องกันไม่ได้จะมีแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
ในอดีต เมื่อมีการพูดถึงเหตุแห่งการเกิดปัญหาโสเภณี บรรดานักวิชาการทางสังคมศาสตร์ และนักสังคมสงเคราะห์จะมุ่งเน้นไปที่ 2 ประเด็นคือ
1. ความยากจน จึงดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และขายตัวด้วยความจำเป็น
2. ถูกล่อลวงและบังคับให้เป็นโสเภณี
ในอดีตสาเหตุ 2 ประการนี้มีส่วนแห่งความเป็นจริง แต่ในปัจจุบันสาเหตุ 2 ประการนี้ไม่น่าจะเป็นสาเหตุแห่งการเป็นโสเภณี และถ้าจะมีอยู่บ้างก็เป็นส่วนน้อย เป็นพฤติกรรมอันเป็นปัจเจก ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยดังนี้
1. รัฐบาลในหลายสมัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลในปัจจุบันมีนโยบายและการดำเนินงานชัดเจนในการแก้ปัญหาความยากจน จึงส่งผลให้ความยากจนลดลงอยู่ในระดับที่ว่าไม่น่าจะมีความจำเป็นต้องเป็นโสเภณี
2. การศึกษาเจริญขึ้นประกอบกับมาตรการแก้ไขป้องกันอาชญากรรมจากภาครัฐมีความเข้มแข็ง ทำให้การล่อลวงและบังคับให้ค้าประเวณีเกิดขึ้นได้ยาก
ถึงแม้ว่าการเป็นโสเภณีด้วยเหตุ 2 ประการข้างต้นลดลง แต่จำนวนผู้ค้าประเวณีมิได้ลดลง ในทางกลับกันน่าจะเพิ่มขึ้น และการที่จำนวนโสเภณีเพิ่มขึ้นน่าจะเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. ในปัจจุบันสังคมไทยถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม และบริโภคนิยมจากโลกตะวันตก จึงทำให้ผู้คนในสังคมแสวงหาและไล่ล่าความอยากทางด้านวัตถุเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการทางด้านวัตถุ โดยคำนึงถึงศีลธรรม คุณธรรม และความถูกต้องทางด้านกฎหมายน้อยลง ความเป็นโสเภณีจึงเกิดขึ้นจากความฟุ่มเฟือยและฟุ้งเฟ้อ
2. ประเทศไทยในปัจจุบันต้องพึ่งรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวทดแทนการส่งออกที่ลดลง ดังนั้น จึงมุ่งเน้นในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจึงทำให้การควบคุมและคัดกรองนักท่องเที่ยวด้อยลงไป และนี่เองคือการเปิดโอกาสนักท่องเที่ยวด้อยคุณภาพเข้ามาเพื่อแสวงหาความสุขทางด้านกามารมณ์เพิ่มจำนวนขึ้น จึงเท่ากับกระตุ้นให้มีผู้ค้าประเวณีเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
จากเหตุปัจจัย 2 ประการข้างต้น อนุมานได้ว่าการป้องกันมิให้มีการค้าประเวณีในเมืองอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยเด็ดขาดทำไม่ได้แน่นอน จะทำได้ก็แค่จัดระเบียบสถานประกอบการที่มีการค้าประเวณีแฝงด้วยมาตรการดังต่อไปนี้
1. จัดให้สถานประกอบการซึ่งมีการค้าประเวณีรวมกันอยู่อย่างเป็นระเบียบในย่านเดียวกันอย่างเอกเทศ ห่างวัดและสถานศึกษาพอประมาณ
2. จัดทำทะเบียนผู้ที่สมัครใจค้าประเวณี และให้สังกัดสถานประกอบการแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นที่แน่นอน
3. ให้จับกุมผู้ที่ค้าประเวณีเร่และไม่มีสังกัด
4. จัดอบรมและฝึกอาชีพพร้อมทั้งหาแหล่งทุนให้สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกเป็นโสเภณี
หลักฐานอีกประการหนึ่งที่บ่งบอกว่าโสเภณีได้เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลคือ การบอกเล่าประวัติของหมดชีวก โกมารทัต ว่ามีมารดาเป็นโสเภณี และมีบิดาเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ จึงได้รับการส่งเสริมให้ไปศึกษาวิชาแพทย์จากเมืองตักศิลา มีความเชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นหมอรักษาพระพุทธเจ้าและสาวก
การที่คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงโสเภณี เป็นการยืนยันว่าการค้าประเวณีได้เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ และคงอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เพียงแต่รูปแบบการขายได้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของโลก ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งอนิจจตาคือความไม่เที่ยงเท่านั้น
การค้าประเวณีในสังคมไทยได้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ และมีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างไรนั้น ผู้เขียนยังไม่พบหลักฐานอย่างเป็นทางการพอที่จะนำมาอ้างอิง เฉกเช่นในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
แต่เท่าที่พอจะได้พบเห็นและจดจำได้ในระยะ 50 ปีย้อนหลังคือ จาก พ.ศ. 2501 ถึงปัจจุบัน การค้าประเวณีในเมืองใหญ่เช่น กรุงเทพฯ เป็นต้น มีอยู่อย่างดาษดื่น และให้บริการในหลายรูปแบบ มีตั้งแต่เร่ขายในที่สาธารณะ เช่น สวนลุมพินี และสนามหลวง เป็นต้น โดยยืนแอบข้างเสาไฟฟ้า และใต้ต้นไม้รอให้ผู้ต้องการซื้อมาเรียกใช้บริการในราคาที่ตกลงกันไปจนถึงอยู่ประจำในซ่อง โดยมีแม่เล้าและแมงดาคอยคุม และมีการกำหนดราคาไว้แน่นอน
ต่อมาเมื่อสังคมไทยเจริญขึ้น และเปิดกว้างจึงเปิดโอกาสให้ลัทธิวัตถุนิยม และบริโภคนิยมเข้ามาครอบงำการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมมากขึ้น การค้าประเวณีก็มีการเปลี่ยนแปลงหลากหลาย และซับซ้อนยิ่งขึ้นจากที่เคยเร่ขาย และอยู่ประจำซ่องมาเป็นการขายทางโทรศัพท์ ทางเว็บไซต์ รวมไปถึงการค้าประเวณีในแบบธุรกิจแฝงในอาชีพอื่น เช่น นักร้อง และพนักงานเสิร์ฟในภัตตาคารและสถานบันเทิง เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ การปฏิเสธว่าประเทศไทยไม่มีการค้าประเวณี จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. ในเมืองใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น มีสถานบันเทิง บาร์ สถานอาบอบนวด หรือแม้กระทั่งในภัตตาคารที่มีวงดนตรี เป็นต้น ล้วนแล้วแต่มีธุรกิจค้ากามแฝงอยู่ ทั้งโดยตรงคือสามารถเรียกหาได้อย่างเปิดเผย และโดยอ้อมคือต้องเลียบๆ เคียงๆ ถามกับพนักงานในสถานที่แห่งนั้น
2. ผู้นำเที่ยวหรือไกด์ และคนขับรถรับจ้าง ก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจค้ากาม โดยที่คนสองประเภทนี้ทำหน้าที่ส่งเสริมการขาย โดยการแนะนำนักท่องเที่ยวซึ่งตนเองทำหน้าที่นำเที่ยว และผู้โดยสารให้รู้ว่าที่ใดมีการค้าประเวณี และจะซื้อบริการได้อย่างไร ในสนนราคาเท่าใด เมื่อนักท่องเที่ยวหรือผู้โดยสารแสดงความสนใจ ก็จะรับอาสาพาไป และเรียกรับผลประโยชน์จากสถานประกอบการเป็นรายหัวเรียกว่า ค่าน้ำ
3. นอกจากเป็นธุรกิจแฝงแล้ว การค้าประเวณีในเมืองท่องเที่ยว ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติผู้มาเพื่อแสวงหาความสุขจาก 3S คือ Sea Sand Sun เช่นที่เมืองพัทยา จะมีการค้าประเวณีแบบขายตรง โดยการออกเดินเร่ขายและผู้ค้าประเวณีในลักษณะนี้มีทั้งหญิงแท้ และหญิงเทียม หรือสาวประเภทสอง และผู้ค้าประเวณีประเภทนี้เองทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย เนื่องจากมีการตามตื๊อและยัดเยียดขายก่อความรำคาญ และบางครั้งมีการทำร้ายนักท่องเที่ยว
จากเหตุปัจจัย 3 ประการดังกล่างข้างต้น ประเทศไทยจะนิ่งเฉย ละเลยไม่แก้ไข และปฏิเสธในทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้อีกต่อไป
อะไรคือเหตุให้เกิดปัญหาค้าประเวณี และเหตุที่ว่านี้ป้องกันมิให้เกิดได้หรือไม่ และถ้าป้องกันไม่ได้จะมีแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
ในอดีต เมื่อมีการพูดถึงเหตุแห่งการเกิดปัญหาโสเภณี บรรดานักวิชาการทางสังคมศาสตร์ และนักสังคมสงเคราะห์จะมุ่งเน้นไปที่ 2 ประเด็นคือ
1. ความยากจน จึงดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และขายตัวด้วยความจำเป็น
2. ถูกล่อลวงและบังคับให้เป็นโสเภณี
ในอดีตสาเหตุ 2 ประการนี้มีส่วนแห่งความเป็นจริง แต่ในปัจจุบันสาเหตุ 2 ประการนี้ไม่น่าจะเป็นสาเหตุแห่งการเป็นโสเภณี และถ้าจะมีอยู่บ้างก็เป็นส่วนน้อย เป็นพฤติกรรมอันเป็นปัจเจก ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยดังนี้
1. รัฐบาลในหลายสมัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลในปัจจุบันมีนโยบายและการดำเนินงานชัดเจนในการแก้ปัญหาความยากจน จึงส่งผลให้ความยากจนลดลงอยู่ในระดับที่ว่าไม่น่าจะมีความจำเป็นต้องเป็นโสเภณี
2. การศึกษาเจริญขึ้นประกอบกับมาตรการแก้ไขป้องกันอาชญากรรมจากภาครัฐมีความเข้มแข็ง ทำให้การล่อลวงและบังคับให้ค้าประเวณีเกิดขึ้นได้ยาก
ถึงแม้ว่าการเป็นโสเภณีด้วยเหตุ 2 ประการข้างต้นลดลง แต่จำนวนผู้ค้าประเวณีมิได้ลดลง ในทางกลับกันน่าจะเพิ่มขึ้น และการที่จำนวนโสเภณีเพิ่มขึ้นน่าจะเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. ในปัจจุบันสังคมไทยถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม และบริโภคนิยมจากโลกตะวันตก จึงทำให้ผู้คนในสังคมแสวงหาและไล่ล่าความอยากทางด้านวัตถุเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการทางด้านวัตถุ โดยคำนึงถึงศีลธรรม คุณธรรม และความถูกต้องทางด้านกฎหมายน้อยลง ความเป็นโสเภณีจึงเกิดขึ้นจากความฟุ่มเฟือยและฟุ้งเฟ้อ
2. ประเทศไทยในปัจจุบันต้องพึ่งรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวทดแทนการส่งออกที่ลดลง ดังนั้น จึงมุ่งเน้นในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจึงทำให้การควบคุมและคัดกรองนักท่องเที่ยวด้อยลงไป และนี่เองคือการเปิดโอกาสนักท่องเที่ยวด้อยคุณภาพเข้ามาเพื่อแสวงหาความสุขทางด้านกามารมณ์เพิ่มจำนวนขึ้น จึงเท่ากับกระตุ้นให้มีผู้ค้าประเวณีเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
จากเหตุปัจจัย 2 ประการข้างต้น อนุมานได้ว่าการป้องกันมิให้มีการค้าประเวณีในเมืองอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยเด็ดขาดทำไม่ได้แน่นอน จะทำได้ก็แค่จัดระเบียบสถานประกอบการที่มีการค้าประเวณีแฝงด้วยมาตรการดังต่อไปนี้
1. จัดให้สถานประกอบการซึ่งมีการค้าประเวณีรวมกันอยู่อย่างเป็นระเบียบในย่านเดียวกันอย่างเอกเทศ ห่างวัดและสถานศึกษาพอประมาณ
2. จัดทำทะเบียนผู้ที่สมัครใจค้าประเวณี และให้สังกัดสถานประกอบการแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นที่แน่นอน
3. ให้จับกุมผู้ที่ค้าประเวณีเร่และไม่มีสังกัด
4. จัดอบรมและฝึกอาชีพพร้อมทั้งหาแหล่งทุนให้สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกเป็นโสเภณี