**ที่ผ่านมาเชื่อว่าทั้งรัฐบาลคงหูชาไปกับคำด่า เสียงวิจารณ์กับการที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ถือว่าเป็นแม่งานได้ยุติการปิดล้อม ตรวจค้น และจับกุม "ธัมมชโย" อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ในโลกโซเชียลฯ ที่ทั้งเร็วและแรง ด่ากันหูดับตับไหม้ทันที หาว่า "มวยล้มต้มคนดู" เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา ประมาณว่า"เปลืองน้ำเปลืองไฟ"ไม่คุ้มค่า
เลยเถิดถึงขนาดที่ว่า นี่คือหนึ่ง "เกมเกี้ยเซียะ" กับฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ที่มีฝ่ายการเมืองทำหน้าที่ประสานงานให้
แต่เอาเป็นว่าฝ่ายที่โดนหนักที่สุดก็คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มี พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง เป็นอธิบดีอยู่ในเวลานี้ รวมไปถึงไม่เว้นแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็โดนไปด้วย
พิจารณาจากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้มันก็ช่วยไม่ได้ว่าการสั่งยุติการตรวจค้นและปิดล้อมดังกล่าวจะทำให้ชาวบ้านและสังคมมองอย่างนั้นจริงๆ เพราะดูจากภาพรวมๆ แล้วก็ต้องนึกว่า "เอาจริง" เนื่องจากมีการทุ่มกำลังจำนวนหลายร้อยนายจากหลายหน่วยงาน นอกเหนือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วยังมี ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และที่สำคัญก็คือ คราวนี้มีการใช้ มาตรา 44 ออกประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 5/2560 ให้พื้นที่วัดพระธรรมกายและพื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ ขึงขังแบบนี้เป็นใครก็ต้องมองเห็นภาพแบบนั้น
อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งในมุมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงประเมินแล้วว่า "พอแค่นี้ก่อน" หากเดินหน้าต่อคง "ได้ไม่คุ้มเสีย" มีความเสี่ยงเกินไปหรือไม่ นั่นคือเสี่ยงที่จะมีการ "จงใจ" ทำให้เกิดรายการ "เลือดตกยางออก" หรือไม่ โดยเฉพาะการจงใจให้ "ผ้าเหลืองเปื้อนเลือด" เนื่องจากภายในวัดพระธรรมกายในเวลานั้น ก่อนที่อธิบดีดีเอสไอ จะสั่งยุติการปิดล้อม ก็มีบรรดาสาวกของ "ธัมมชโช" ทั้งที่เป็นพระสงฆ์และฆราวาส มีจำนวนนับพันคน ยังไม่นับที่อยู่ภายนอกที่มีการรวมตัวกันที่ตลาดกลางคลองหลวงอีกนับร้อย หากบุกเข้าไปก็มีแนวโน้มปะทะ ซึ่งก็เชื่อว่าต้องมีคนจงใจให้ "เสียเลือดเนื้อ" แน่นอน
แน่นอนว่า เหตุการณ์ยังไม่เกิด เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มมันก็เป็นไปได้ทางนั้นไม่น้อย เพราะนี่คือหนึ่งในแผนสำหรับเรียกร้องความเห็นใจจากภายนอก ประเภทรังแกพระสงฆ์ รัฐบาลทำลายพระพุทธศาสนา อะไรประมาณนี้ ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ในมุมของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ต้องประเมินว่าสถานการณ์ยามนี้มันเริ่มเปลี่ยนไป แม้ว่าสำหรับตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะยังไม่ใช่ "ขาลง" แต่รับรองว่า "หมดยุคพีค" แล้ว มีหลายเรื่องเริ่มรุมเร้า คงไม่อยากติดหล่มกับศึกธรรมกายที่มีแนวร่วมเป็นพวกมวลชนของเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่คอยจ้องผสมโรงคว่ำเพื่อหวังฟื้นคืนอำนาจอีกด้วย
ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีจะพบว่า "การรุก" ที่ผ่านมาก็ไม่ถือว่าสูญเปล่าเสียทีเดียว อย่างน้อยก็สามารถถอดถอนสมณศักดิ์ของ ธัมมชโย และ "มือขวา" ของเขา อย่าง "ทัตตชีโว"ไปแล้ว รวมไปถึงมีคดีติดตัวอีกนับร้อยคดี อีกทั้งพระสงฆ์ ที่เป็นระดับแกนนำของวัดพระธรรมกาย ก็โดนคดีกันถ้วนหน้า ถือว่า"มีชนักปักหลัง"เอาไว้
**หากโฟกัสพิจารณาเฉพาะ ธัมมชโย กับ ทัตตชีโว ที่เป็นแกนหลักของ "ธรรมกาย" นาทีนี้ก็ได้แต่ล่องหน "มุดรู" อยู่อย่างเดียว หรือไม่ก็ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ไม่สามารถขยายอาณาจักรได้อย่างอิสระเหมือนเมื่อก่อน ทุกอย่างต้องหลบซ่อนตามอายุความ 15 ปี และที่ผ่านมา ก็สามารถเปิดโปงให้ชาวบ้านได้เห็นโฉมหน้าภายใต้หน้ากากมานานได้แทบหมดสิ้นแล้ว แน่นอนว่า เสียงด่าจะต้องเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งแต่อีกไม่นานก็ค่อยๆจางลงไป
แต่นับจากนี้จุดโฟกัสน่าจะเลื่อนจับไปที่องค์กรปกครองทางสงฆ์ ที่ต้องพิจารณากันตามลำดับชั้น ที่เวลามหาเถรสมาคม (มส.) มอบหมายให้ "เจ้าคณะใหญ่หนกลาง" เป็นผู้ดำเนินการ และที่น่าจับตาที่สุดในเวลานี้ก็คือ "ตำแหน่งเจ้าอาวาส" วัดพระธรรมกายรูปใหม่ ว่าเป็นใคร เพราะเป็นหน้าที่พิจารณาจากเจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะอำเภอ รวมไปถึงเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพราะเวลานี้ถือว่า ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่างลงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ "ส่งตรง"ไปจากภายนอก
ดังนั้นหากให้สรุปในเวลานี้ก็ต้องบอกว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงต้องหยุดเอาไว้แค่นี้ก่อน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ "องค์กรปกครองทางสงฆ์"ได้จัดการตามขั้นตอน แม้ว่าอาจจะช้า ไม่ทันใจ แต่เชื่อว่าคงไม่ช้าเกินไป เพราะในเมื่อระดับมหาเถรสมาคมมีการเปลี่ยนแปลงประธานใหม่ก็น่าจะมีการเคลื่อนไหวตามมา
**สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงต้องปล่อยผ่าน คงอ่านเกมแล้วเห็นสัญญาณ "ผ้าเหลืองเปื้อนเลือด" จึงต้องสั่งถอยออกมาก่อน อีกทั้งที่ผ่านมาก็ตัดมือตัดเท้าไปแล้ว !!
เลยเถิดถึงขนาดที่ว่า นี่คือหนึ่ง "เกมเกี้ยเซียะ" กับฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ที่มีฝ่ายการเมืองทำหน้าที่ประสานงานให้
แต่เอาเป็นว่าฝ่ายที่โดนหนักที่สุดก็คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มี พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง เป็นอธิบดีอยู่ในเวลานี้ รวมไปถึงไม่เว้นแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็โดนไปด้วย
พิจารณาจากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้มันก็ช่วยไม่ได้ว่าการสั่งยุติการตรวจค้นและปิดล้อมดังกล่าวจะทำให้ชาวบ้านและสังคมมองอย่างนั้นจริงๆ เพราะดูจากภาพรวมๆ แล้วก็ต้องนึกว่า "เอาจริง" เนื่องจากมีการทุ่มกำลังจำนวนหลายร้อยนายจากหลายหน่วยงาน นอกเหนือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วยังมี ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และที่สำคัญก็คือ คราวนี้มีการใช้ มาตรา 44 ออกประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 5/2560 ให้พื้นที่วัดพระธรรมกายและพื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ ขึงขังแบบนี้เป็นใครก็ต้องมองเห็นภาพแบบนั้น
อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งในมุมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงประเมินแล้วว่า "พอแค่นี้ก่อน" หากเดินหน้าต่อคง "ได้ไม่คุ้มเสีย" มีความเสี่ยงเกินไปหรือไม่ นั่นคือเสี่ยงที่จะมีการ "จงใจ" ทำให้เกิดรายการ "เลือดตกยางออก" หรือไม่ โดยเฉพาะการจงใจให้ "ผ้าเหลืองเปื้อนเลือด" เนื่องจากภายในวัดพระธรรมกายในเวลานั้น ก่อนที่อธิบดีดีเอสไอ จะสั่งยุติการปิดล้อม ก็มีบรรดาสาวกของ "ธัมมชโช" ทั้งที่เป็นพระสงฆ์และฆราวาส มีจำนวนนับพันคน ยังไม่นับที่อยู่ภายนอกที่มีการรวมตัวกันที่ตลาดกลางคลองหลวงอีกนับร้อย หากบุกเข้าไปก็มีแนวโน้มปะทะ ซึ่งก็เชื่อว่าต้องมีคนจงใจให้ "เสียเลือดเนื้อ" แน่นอน
แน่นอนว่า เหตุการณ์ยังไม่เกิด เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มมันก็เป็นไปได้ทางนั้นไม่น้อย เพราะนี่คือหนึ่งในแผนสำหรับเรียกร้องความเห็นใจจากภายนอก ประเภทรังแกพระสงฆ์ รัฐบาลทำลายพระพุทธศาสนา อะไรประมาณนี้ ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ในมุมของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ต้องประเมินว่าสถานการณ์ยามนี้มันเริ่มเปลี่ยนไป แม้ว่าสำหรับตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะยังไม่ใช่ "ขาลง" แต่รับรองว่า "หมดยุคพีค" แล้ว มีหลายเรื่องเริ่มรุมเร้า คงไม่อยากติดหล่มกับศึกธรรมกายที่มีแนวร่วมเป็นพวกมวลชนของเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่คอยจ้องผสมโรงคว่ำเพื่อหวังฟื้นคืนอำนาจอีกด้วย
ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีจะพบว่า "การรุก" ที่ผ่านมาก็ไม่ถือว่าสูญเปล่าเสียทีเดียว อย่างน้อยก็สามารถถอดถอนสมณศักดิ์ของ ธัมมชโย และ "มือขวา" ของเขา อย่าง "ทัตตชีโว"ไปแล้ว รวมไปถึงมีคดีติดตัวอีกนับร้อยคดี อีกทั้งพระสงฆ์ ที่เป็นระดับแกนนำของวัดพระธรรมกาย ก็โดนคดีกันถ้วนหน้า ถือว่า"มีชนักปักหลัง"เอาไว้
**หากโฟกัสพิจารณาเฉพาะ ธัมมชโย กับ ทัตตชีโว ที่เป็นแกนหลักของ "ธรรมกาย" นาทีนี้ก็ได้แต่ล่องหน "มุดรู" อยู่อย่างเดียว หรือไม่ก็ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ไม่สามารถขยายอาณาจักรได้อย่างอิสระเหมือนเมื่อก่อน ทุกอย่างต้องหลบซ่อนตามอายุความ 15 ปี และที่ผ่านมา ก็สามารถเปิดโปงให้ชาวบ้านได้เห็นโฉมหน้าภายใต้หน้ากากมานานได้แทบหมดสิ้นแล้ว แน่นอนว่า เสียงด่าจะต้องเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งแต่อีกไม่นานก็ค่อยๆจางลงไป
แต่นับจากนี้จุดโฟกัสน่าจะเลื่อนจับไปที่องค์กรปกครองทางสงฆ์ ที่ต้องพิจารณากันตามลำดับชั้น ที่เวลามหาเถรสมาคม (มส.) มอบหมายให้ "เจ้าคณะใหญ่หนกลาง" เป็นผู้ดำเนินการ และที่น่าจับตาที่สุดในเวลานี้ก็คือ "ตำแหน่งเจ้าอาวาส" วัดพระธรรมกายรูปใหม่ ว่าเป็นใคร เพราะเป็นหน้าที่พิจารณาจากเจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะอำเภอ รวมไปถึงเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพราะเวลานี้ถือว่า ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่างลงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ "ส่งตรง"ไปจากภายนอก
ดังนั้นหากให้สรุปในเวลานี้ก็ต้องบอกว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงต้องหยุดเอาไว้แค่นี้ก่อน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ "องค์กรปกครองทางสงฆ์"ได้จัดการตามขั้นตอน แม้ว่าอาจจะช้า ไม่ทันใจ แต่เชื่อว่าคงไม่ช้าเกินไป เพราะในเมื่อระดับมหาเถรสมาคมมีการเปลี่ยนแปลงประธานใหม่ก็น่าจะมีการเคลื่อนไหวตามมา
**สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงต้องปล่อยผ่าน คงอ่านเกมแล้วเห็นสัญญาณ "ผ้าเหลืองเปื้อนเลือด" จึงต้องสั่งถอยออกมาก่อน อีกทั้งที่ผ่านมาก็ตัดมือตัดเท้าไปแล้ว !!