ไปซะแว้วว์ว์ว์... “เจ๋ง ดอกจิก” อย่างน้อย คงไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากันอีกประมาณปี-สองปีนับจากนี้ ส่วน “จตุพร ตุ๊ดตู่” นั้น ไม่รู้ใครไปคว้าเอาคลิปเก่ามาแชร์กันสนั่นเมืองในช่วงนี้ คือคลิปที่กำลังโฆษณา “ขายยาสีฟัน” ประเภทซื้อ 6 หลอด-แถมหนึ่งหลอด อะไรประมาณนั้น เรียกว่า...ออกอาการระโหยโรยแรง น่าเห็นใจ น่าสงสาร น่าเวทนา ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
คือ “การเมือง” มันก็เป็นเช่นนี้นั่นแหละทั่น...มีขึ้น-มีลง มีเกิด-มีดับ มียศ-เสื่อมยศ มีลาภ-เสื่อมลาภ ไปตามสภาพ ใครก็ตามที่ไม่ได้เข้าใจถึงความขึ้นๆ ลงๆ เกิดๆ ดับๆ ย่อมต้องมีโอกาสเจ็บปวดรวดร้าวทรมานไปด้วยกันทั้งนั้นยิ่งเป็นผู้คนที่มารวมกันด้วย “แนวคิด” ในเชิงอุดมการณ์ อุดมคติ (ไม่ว่าผิด-หรือถูก) ซึ่งต่างไปจากผู้ที่รวมตัวกันด้วยเงิน ด้วยผลประโยชน์ในแต่ละรูป แต่ละแบบ ที่โอกาสเจ็บๆ ปวดๆ อาจลดน้อยถอยลงไปตามสภาพ ด้วยเหตุเพราะมันยังมี “เงิน” เหลือติดไม้ติดมือเอาไว้มั่ง เช่น บรรดาพวกพรรคการเมือง พวกนักธุรกิจการเมือง เป็นต้น...
แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้คิดรวมตัวกันด้วย “เงิน” มาตั้งแต่เบื้องต้น จะด้วยเหตุเพราะไม่มีเงิน หรือหวังว่ารวมแล้วค่อยไปหาเงิน แบบชนิด “สู้แล้วรวย” กันอีกที เช่น บรรดาพวก “นักเคลื่อนไหวมวลชน” ทั้งหลาย บางครั้งบางครา หรือหลายครั้งหลายคราที่ความเจ็บ ความปวดต่อกลุ่มคนเหล่านี้ มันอาจบาดลึกลงไปถึงจิตสำนึก ความรู้สึก ความเป็นตัวตนของตน จนออกอาการ “ไปไม่เป็น” แทบตลอดทั้งชีวิต กลายเป็นสิ่งชำรุด สิ่งปรักหักพังทางประวัติศาสตร์เอาเลยก็มี โดยเฉพาะเมื่อ “แนวคิด” หรือที่เรียกกันหรูๆ ว่า “อุดมการณ์-อุดมคติ” กลายเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องต้องกันกับช่วงเวลาแห่งยุคสมัย หมดยุค พ้นยุค จนเหลือแต่ “ตด” เอาไว้กำ ไม่เหลือ “ขี้” แม้แต่เศษๆ พอเอาไว้ให้ตั้งหลัก ปรับตัว ปรับใจ ปรับสภาพ อย่างพวกนักธุรกิจการเมือง หรือพวกนายทุน เอาเลยแม้แต่น้อย...
การทำความเข้าใจถึงการขึ้นๆ ลงๆ เกิดๆ ดับๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเอามากๆ คืออย่างน้อย...ก็ควรรู้ว่าจังหวะไหนที่กำลังขึ้น จังหวะไหนกำลังลง จุดไหนที่ควร “ลุย” จุดไหนที่ควร “เลิก” ไม่งั้น...มีแต่ต้องเจ็บปวดรวดร้าวชนิดยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บ ยิ่งสู้ยิ่งฉิบหาย แถมเผลอๆ อาจลากเอาผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาให้ต้องลำบากหรือต้องฉิบหายตามไปด้วยเพราะการขึ้นๆ ลงๆ เกิดๆ ดับๆ ที่ว่า เอาไป-เอามาแล้ว...มันคงไม่ได้เกี่ยวกับอะไรผิด-อะไรถูกมากมายซักเท่าไหร่แต่ขึ้นอยู่กับมันสอดคล้องต้องกันกับยุคสมัย กับสภาวะแวดล้อมในขณะนั้น มากหรือน้อยเพียงใด อันนี้นี่แหละที่ทำให้บรรดานักคิด นักเคลื่อนไหวมวลชน ที่ประเมินตัวเอง ประเมินสภาวะแวดล้อมผิดพลาด มักต้อง “ตกเวทีประวัติศาสตร์” ชนิด “โดดไปขึ้นเวทีรำวง” ก็ยังแทบเป็นไปไม่ได้...
ยิ่งเป็นประเภทที่พร้อมจะ “ปรับความคิด” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เงิน” สำหรับเอาไว้ใช้เคลื่อนไหว หรืออาจแง๊บบางส่วนติดมือ ติดไม้ ติดปลายนวมเอาไว้มั่ง อันนี้...ถึงแม้พอเหลือเงิน เหลือทอง เอาไว้ตั้งหลักได้บ้าง แต่ในเมื่อ “แนวคิด” มันถูกปรับ ถูกเปลี่ยน ไปเป็นคนละเรื่อง คนละม้วน ก็คงไม่เหลือโอกาสและเงื่อนไขใดๆ ที่พอจะให้เคลื่อนไหวได้ต่อไปอีกแล้ว มีแต่ต้องหาทางลด-ละ-เลิก ให้ทันท่วงที ไม่งั้น...ไอ้ที่พอเหลือๆ มันอาจสูญสลายหายเกลี้ยง ไม่ว่าทั้งเงิน ทั้งชื่อเสียง-เกียรติยศ ตลอดไปจนความเชื่อมั่น-ศรัทธา หมดสภาพ หมดคุณค่าราคาชนิดอาจไม่เหลือที่ยืนเพียงน้อยนิดในสังคมเอาเลยก็ไม่แน่!!!
การทำความเข้าใจกับการขึ้นๆ-ลงๆ การเกิด-การดับ การเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์เสมอมา จึงทำให้เรื่อง “การเมือง” นั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของ “ความมีชีวิต” นั่นเอง ผู้ที่ “เข้าใจในชีวิต” แบบ “ตกผลึก” ไปแล้วนั่นแหละ ถึงจะเป็นผู้ปลอดโปร่งโล่งสบายกับความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ต้องเจ็บปวดรวดร้าว ต้องดิ้นรน ตะเกียกตะกาย อย่างน่าเวทนา น่าสงสารอีกต่อไป หรือต้องกลายเป็นเศษซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์รุ่นแล้วรุ่นเล่า ด้วยเหตุนี้...บรรดาผู้ที่มักอ้างตัวว่าเป็นนักคิด นักเคลื่อนไหวทั้งหลาย อย่าถึงกับต้องไปปวดเศียรเวียนเกล้ากับการคิดแยกตัวออกจากพรรคการเมือง หรือแยกตัวออกจากนายทุนรายหนึ่ง รายใด เอาแค่...ลองหันมาทำ “ความเข้าใจกับชีวิต” ให้มากขึ้นๆ ยิ่งไปกว่านี้ ชนิดที่อาจพอแยกตัวเองออกจาก “อัตตา” ตัวเองได้บ้างแม้เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี เพียงเท่านี้...ก็อาจหายเจ็บ หายปวด เบาสบายขึ้นมาเป็นกอง...