xs
xsm
sm
md
lg

“อนุทิน” ดีล “แม้ว”-ภท.ยอมรับพา “บิ๊กบัง”ไปพบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายวัน 360 - “ภูมิใจไทย” ยอมรับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” พา “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” พบ “ทักษิณ ชินวัตร” เพื่อความปรองดอง ปัด “เกี้ยเซี้ยะ” ทางการเมือง ปัดข้อกล่าวหา “ซิโน-ไทยฯ” เอาเปรียบรัฐจากค่าก่อสร้างรัฐสภาใหม่ อัด “วัชระ เพชรทอง” ไม่ควรเอาเรื่องในวงเหล้าไปขยายความหวังรับผลประโยชน์ ด้าน สตง. เร่งกระทรวงการคลัง - กรมสรรพากร พิจารณาขยายเวลาจัดเก็บภาษี “ทักษิณ” กรณีขายหุ้นชินคอร์ป มูลค่ากว่า 1.6 หมื่นล้านบาท หลังยื้อคดีมา 5 ปีจนจวนหมดอายุความวันที่ 31 มี.ค.60 ด้าน กรมสรรพากร ย้ำไม่ขยายเวลาออกหมายเรียกเพื่อให้โทษผู้เสียภาษี

นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวตอบโต้ นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เล่นการเมืองและเกี้ยเซียะกับ นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ว่า นายอนุทิน เป็นคนนำพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ไปพบนายทักษิณจริง และไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับ โดยการกระทำคราวนั้นเพื่อนำคู่ขัดแย้งให้พบกันอันเป็นประโยชน์ในการสร้างความปรองดองซึ่งมิใช่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นสถานการณ์การเมืองในช่วงนั้น โดยการกระทำคราวนั้นของนายอนุทินก็เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการมีส่วนช่วยบ้านเมือง แทนที่จะนิ่งเฉยและเอาตัวรอด

“คนที่รู้จักผมย่อมรู้ดีว่า ผมไม่ใช่เป็นคนประเภทที่นำเอาคำสนทนาของเพื่อนในวงเหล้า วงไวน์ ในหมู่มิตรสหายมาขยายความใส่ร้ายป้ายสีต่อสาธารณะ หรือออกข่าวกล่าวหาใคร แล้วจะขอเกี้ยเซี้ย เรียกร้องประโยชน์ แต่ผมออกมาแถลงในนามของพรรคการเมืองที่ถูกใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จ แต่วันนี้แทนที่จะหยุด นายวัชระ กลับออกมาแถซ้ำอีก”นายศุภชัย กล่าว

นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่านายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยยอมรับแล้วว่านายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้พาพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารคนที่แล้วไปพบนายทักษิณ ชินวัตรที่ต่างประเทศ และมากล่าวหาผมว่าบิดาผมเคยฝากนายศุภชัยให้ดูแลและผมไปขอเงินบ่อยๆทำกิจกรรมนั้น

“นายศุภชัยแถลงเป็นตุเป็นตะว่าผมพูดเท็จทั้งสิ้น แล้วในที่สุดก็ออกมายอมรับด้วยตนเองว่านายอนุทิน พาพล.อ.สนธิ ไปพบทักษิณนั้นก็เป็นเรื่องจริง”

*** ย้ำ “ซิโน-ไทยฯ” ไม่เคยหาประโยชน์จากการเมือง ***

ส่วนกรณีที่กล่าวหาเรื่อง บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เอาเปรียบราชการในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ทุกคนทราบดีว่า นายอนุทิน ได้ออกมาจากการบริหารงานบริษัทเป็นเวลากว่าสิบปี โดยได้วางผู้สืบทอดที่มีความสามารถไว้นานแล้ว และสมาชิกพรรคก็ทราบดีว่าการประกอบกิจการของ บริษัท ซิโน-ไทยฯ ไม่เคยมาหาประโยชน์จากทางการเมืองของพรรคเลย ส่วนประเด็นที่กล่าวหา บริษัท ซิโน-ไทยฯ นั้น เชื่อว่าบริษัทฯ ก็พร้อมที่จะพิสูจน์ทุกเรื่องที่นายวัชระ ใส่ร้าย สิ่งที่อยากจะบอกนายวัชระก็คือ ทุกคนก็รักชาติบ้านเมือง อย่าผูกขาดความรักชาติไว้ที่ตัวคนเดียวแล้วว่าคนอื่นไม่ดี

“ผมไม่อยากจะถือสาหาความกับนายวัชระ กลับให้ความเมตตามาตลอด เพราะบิดาของนายวัชระ เคยเอ่ยปากฝากว่าให้ช่วยดูแลบุตรชายด้วย ตอนนายวัชระเรียนที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำกิจกรรมก็มาขอเงินผม ซึ่งผมก็ให้ไปบ่อยๆ นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับโดนเด็กคนนั้นออกมาด่าเสียๆ หายๆ น่าเสียใจจริงๆ” นายศุภชัย กล่าว

*** หวั่นวืดเก็บภาษีทักษิณ กว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ***

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) (7 มี.ค.) ถึงกรณี คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร พิจารณาแนวทางเรียกเก็บภาษีเงินได้จาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีขายหุ้นชินคอร์ป ให้เทมาเส็ก เมื่อปี 2549 เบื้องต้นคาดว่ามีมูลค่าภาษีกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท แต่จะหมดอายุความที่สามารถเรียบเก็บได้ในวันที่ 31 มี.ค.60 ว่า เรื่องดังกล่าวได้มอบหมายให้ กระทรวงการคลัง กำชับ กรมสรรพากร ให้ติดตามประชุมหน่วยงานและรายงานต่อรัฐบาลซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ

นายประภาศ คงเอียด รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ว่า คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาข้อหารือทั่วไปของ กรมสรรพากร กรณีมาตรา 19 ประมวลรัษฎากร กรณีที่ผู้ยื่นแบบเสียภาษี แต่เสียภาษีไม่ครบ ซึ่ง กรมสรรพากร มีอำนาจประเมินภาษีในระยะเวลา 10 ปี แต่ต้องออกหมายเรียกภายใน 5 ปี หากไม่ออกหมายเรียกภายใน 5 ปีก็จะไม่มีอำนาจการประเมินภาษีได้ ส่วนในกรณีที่ กรมสรรพากร ไม่ได้ออกหมายเรียกภายใน 5 ปี จะสามารถขยายเวลาออกหมายเรียกตามอำนาจมาตรา 3 อัฏฐ วรรคสอง ของประมวลรัษฎากรได้หรือไม่

“คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาตามประเด็นของ กรมสรรพากร กรณีขยายเวลา หากไม่ออกหมายเรียกภายใน 5 ปีได้หรือไม่ โดยเห็นว่า กรมสรรพากร ไม่สามารถขยายเวลาออกหมายเรียกได้ เพราะมาตรา 19 เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่า ต้องการให้กรมสรรพากรดำเนินการออกหมายเรียกภายใน 5 ปี เนื่องจากต้องการให้กรมสรรพากรเร่งรัดตรวจสอบตามเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ มาตรา 3 อัฏฐ วรรคสอง การขยายเวลาการออกหมายเรียกจะต้องเป็นการให้คุณแก่ผู้เสียภาษี ไม่สามารถให้โทษกับผู้เสียภาษีได้”

นายประภาศ กล่าวว่า การหารือดังกล่าวเป็นการหารือทั่วไป เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติกับผู้เสียภาษีทุกราย ไม่ได้เจาะจงลงไปการเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เท่านั้น โดยการเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปเป็นหน้าที่ของ กรมสรรพากร จะดำเนินการว่าประเมินภาษีหรือไม่

ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรไม่ออกหมายเรียกภายใน 5 ปี และทำให้ประเมินภาษีไม่ได้ จะมีความผิดละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ต้องไปพิจารณาว่าหากเจ้าหน้าที่รู้อยู่แล้วว่า ต้องออกหมายเรียก แต่ไม่ดำเนินการ ก็จะมีความผิดละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

“กรณีการขายหุ้นชินคอร์ปของนายทักษิณ เกิดขึ้นในปี 2549 และต้องยื่นแบบภายใน 31 มี.ค.50 ซึ่งนายทักษิณ ไม่ได้แสดงรายได้จากการขายหุ้นเพื่อเสียภาษี โดยการประเมินภาษีจะหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.60 ซึ่งก่อนหน้านี้ กรมสรรพากร ไม่เคยออกหมายเรียกนายทักษิณภายใน 5 ปี” นายประภาศ กล่าวในตอนท้าย

*** สตง.ขู่เอาผิดกรณีจนท.รัฐละเลยปฏิบัติหน้าที่ ***

ด้าน นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวว่า สตง.ได้ทำหนังสือไปยัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กรมสรรพากร ให้พิจารณาขยายเวลาจัดเก็บภาษีออกไป จากกำหนดเดิมสิ้นสุดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.60 เพื่อให้ กรมสรรพากร มีเวลาออกหมายเรียกเก็บภาษีเงินได้จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากกรณีการขายหุ้นชินคอร์ปดังกล่าว เพราะหากปล่อยคดีให้หมดอายุความจะดำเนินการจัดเก็บภาษีไม่ได้

ทั้งนี้ หากไม่ขยายเวลาออกไป คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรต้องมีเหตุผลรองรับ เนื่องจาก สตง.พิจารณาจากมาตรา 3 อัฎฐ ประมวลรัษฎากร สามารถขยายเวลาออกไปสำหรับกรณีใดกรณีหนึ่งซึ่งมีเหตุสมควรต่อการจัดเก็บภาษีเพราะมีมูลค่าจัดเก็บภาษีจำนวนมาก โดยหากผู้เกี่ยวข้องและกรมสรรพากรไม่ดำเนินการจัดเก็บภาษีและขยายเวลาออกไป อาจต้องมีความผิดตามมาตรา 154 และมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากละเลยการปฏิบัติหน้าที่ มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี โดย สตง. ในฐานะผู้ติดตามและตรวจสอบจะทำหน้าที่ เพื่อนำเงินภาษีดังกล่าวมาใช้ประโยชน์

ด้าน นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า การประเมินภาษีในกรณีการขายหุ้น SHIN ถือว่าได้ข้อยุติแล้วในช่วงปี 2534 โดยข้อยุติดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้าดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ส่วนกรณีการขยายอายุความตามมาตรา 3 อัฎฐวรรคหนึ่งแห่งประมวลรัษฎากรตามข้อเสนอจาก สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นั้น กรมสรรพากร ได้เคยชี้แจงแล้วว่าจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นคุณต่อผู้เสียภาษี และที่ผ่านมากรมสรรพากรไม่เคยขยายเวลาเพื่อจะกล่าวโทษผู้เสียภาษี ดังนั้นการขยายเวลาได้หรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีของกรมสรรพากร
กำลังโหลดความคิดเห็น