เกาเหลาชามโตที่สนามบินน้ำ
อสมท.ได้"บิ๊กบอส"คนใหม่
ยิ่งนานวัน ศรัทธาที่ศิษยานุศิษย์มีต่อ "พระเดชพระคุณหลงพ่อธัมมชโย" ก็ยังไม่เสื่อมคลาย และทำท่าหลั่งไหลกันมาเรื่อยๆ ทำให้เห็นหัวเห็นหางกันมากขึ้น ระดับเซเลบริตี้ คนมีชื่อเสียงก็ไม่น้อย อย่างเมื่อวานนี้ก็มีทั้ง "ฟอร์ด เส้นทางสีแดง" หรือ อนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ที่หลายคนอาจจะเกาหัวแกรกๆว่า ใครวะ ?? แต่สำหรับ “คนเสื้อแดง”แล้วเป็นที่รู้จักแน่นอน ที่ผ่านมาก็มีผลงาน-วีรกรรม ที่หวือหวาพอตัว จู่ๆ โผล่มาที่ตลาดกลางคลองหลวง จนถูกเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คุมตัวไปสอบสวน ได้ความว่า แค่มาทำบุญตักบาตรในฐานะพุทธศาสนิกชน แล้วอันที่จริงก็มาป้วนเปี้ยนได้ 2-3 วันแล้วด้วย แต่“การข่าว”เพิ่งแจ้งมาที่ดีเอสไอ โดนจับเซ็นเอกสาร โผล่มาละแวกธรรมกายอีกที คุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่นนะจ๊ะ
อีกคนดังกว่ากันเยอะ ก็รายของ“ป้าเช็ง”ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ อดีตเจ้าของทีวีดาวเทียมซูเปอร์เช็ง หรือที่รู้จักกันดีในนาม “น้ำหมักป้าเช็ง”ที่คงถือโอกาสเปิดตัวว่าเป็น“สาวกธรรมกาย”อย่างเป็นทางการ เปิดพื้นที่ตลาดป้าเช็ง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ใกล้ๆ วัดพระธรรมกาย ให้ “ทีมงานธรรมกาย” ที่เข้าไม่ถึงตลาดกลางคลองหลวงไปปักหลักในตลาดตัวเองแทน จนเจ้าหน้าที่รู้ข่าว ก็เข้าไปควบคุมตัวมาได้ราว 20 ราย ในจำนวนนี้มีพระเณรอยู่ 11 รูป ชาวต่างด้าว 6 ราย โดยยอมรับว่ามาชุมนุมสนับสนุนวัดพระธรรมกาย และคัดค้านคำสั่ง มาตรา 44 ของ คสช. ล่าสุดเห็นว่า ดีเอสไอ กำลังจะออกหมายเรียก “คุณป้าเช็ง”ไปให้ข้อมูล ซึ่งคงไม่ได้ถามสูตรน้ำหมักแน่นอน ... ช่วงนี้ “ศิษย์หลงพ่อ”โดนลูกหลงกันเป็นแถบๆ
+++++++++++++
ขอมอบตำแหน่ง “ใจกว้างเป็นแม่น้ำ”ให้แก่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ ที่สู้อุตส่าห์ปลุกปั้นแล้วต่อยอด“โครงการธงฟ้าประชารัฐ”จนกล่อม “บิ๊กยี่ปั๊ว”รายใหญ่ของประเทศ 5 ราย ทั้ง เครือสหพัฒน์–ยูนิลีเวอร์ - เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ - คอลเกตปาล์มโอลีฟ - พีแอนด์จี มาเซ็นเอ็มโอยูสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการลดค่าครองชีพประชาชน เน้นไปที่สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยขอความร่วมมือให้บรรดายักษ์ขายส่งเหล่านี้ ลดราคาขายในร้านค้าปลีกแบบถาวรต่ำกว่าท้องตลาด 15-20% ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็เห็น “สนธิรัตน์”ทั้งจัดแจงวางนโยบาย พร้อมเดินสายล็อบบี้สุดตัว
ทว่า...พอถึงอีเว้นต์วันเปิดตัวโครงการเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา กลับเป็น อภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ที่“ปาดหน้าเค้ก”โผล่หน้าแฉล้มโดดขึ้นเวทีไปเคลมผลงาน โดยไม่เอ่ยถึง“รมช.สนธิรัตน์”แม้แต่น้อย บอกเพียงว่าตัวเองเป็นผู้มอบหมายให้ กรมการค้าภายใน ร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขับเคลื่อนโครงการนี้ ทำเอา “นักข่าวกระทรวง”อ้าปากค้างกันเป็นแถว ก็เจ้า 2 กรมที่ว่า “รมว.อภิรดี”ก็เป็นผู้มอบให้ “รมช.สนธิรัตน์”เป็นผู้ดูแลตอนปรับครม.เสร็จหมาดๆ พอมีผลงานอะไรหน่อยก็มาออกหน้าเคลมว่าทำด้วยตัวเอง แบบนี้ไม่น่าจะสวย ... ทำท่าจะมี “เกาเหลาชามโต”แถวๆสนามบินน้ำ อีกแล้วครับทั่น
+++++++++++++
เว้นว่างมา 4-5 เดือนได้ สำหรับเก้าอี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (อสมท) ที่เจ้าของที่นั่งอย่าง ศิวะพร ชมสุวรรณ ถูกดีดทิ้งอย่างไม่ใยดี ในข้อหา “ขาดคุณสมบัติ”ทั้งที่กระเตงกันมาร่วม 2 ปี แต่พอไปขัดใจ“ขาใหญ่แดนสนธยา”เข้าก็เก็บกระเป๋าแทบไม่ทัน หลังจากนั้นก็ดูเงียบๆ เห็นว่าเปิด-ปิดการรับสมัคร “บิ๊กบอส อสมท”กันไปเมื่อช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เข้ารับการสรรหาเบ็ดเสร็จแค่ 3 คน ซึ่งว่ากันว่ามีเพียง 2 รายที่ได้ขับเคี่ยวกัน ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ มี “แคนดิเดตรายหนึ่ง”วิ่งจนขาขวิด และเที่ยวไปคุยโวว่า ตีตราจองได้เข้ามานั่งบริหาร อสมท เรียบร้อย แต่บังเอิ๊ญ..บังเอิญ เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค โยงไปถึงอดีตนายตำรวจใหญ่ ที่มีข่าวอยู่ในตอนนี้ ส่งผลให้ขาดคุณสมบัติอย่างกะทันหัน
ทำให้“ใหญ่”เขมทัตต์ พลเดช อดีตผู้บริหารพีพีทีวี ซึ่งเคยเป็นลูกหม้อ อสมท มาในอดีต ลอยลำคว้าเก้าอี้เบอร์ 1 แดนสนธยาไปแบบสบายๆ และกำลังอยู่ในช่วงตรวจคุณสมบัติ-ทำเอกสาร-ตกลงค่าจ้าง เชื่อว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่กี่วันคงมีการประกาศอย่างเป็นทางการ พูดกันตามเนื้อผ้า ชื่อของ “เขมทัตต์” ค่อนข้างโดดเด่นกว่าผู้สมัครรายอื่นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยผลงานที่ยอมรับกันทั่ววงการวิทยุโทรทัศน์ จนได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาพันสมาคมธ์วิชาชีพวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์
ล่าสุดก็ปลุกปั้น “พีพีทีวี”จนฮอตฮิตติดลมบน ที่สำคัญยังเคยปั้นรายได้ปีเดียวเหยียบ 4 พันล้านให้กับ อสมท มาแล้ว เมื่อสมัยที่ดูแลฝ่ายขาย-การตลาด ช่วงที่ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็น ผอ. กลับมาคราวนี้ ถือว่าเป็นความท้าทายของ “เดอะใหญ่” ที่มีโจทย์ใหญ่ในการกระชากเรตติ้งของ อสมท ให้โงหัวขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันที่มีผู้เล่นในสนามมากขึ้น แถมด้วยงานสำคัญในการจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 2600 MHz ที่ อสมท ถืออยู่มาใช้ประโยชน์ภายในปี 2560 นี้ด้วย … แล้วก็ยังต้องไปฟาดฟันกับ “คนชื่อตัวเล็กๆ แต่ขาใหญ่” อีกต่างหาก.
อสมท.ได้"บิ๊กบอส"คนใหม่
ยิ่งนานวัน ศรัทธาที่ศิษยานุศิษย์มีต่อ "พระเดชพระคุณหลงพ่อธัมมชโย" ก็ยังไม่เสื่อมคลาย และทำท่าหลั่งไหลกันมาเรื่อยๆ ทำให้เห็นหัวเห็นหางกันมากขึ้น ระดับเซเลบริตี้ คนมีชื่อเสียงก็ไม่น้อย อย่างเมื่อวานนี้ก็มีทั้ง "ฟอร์ด เส้นทางสีแดง" หรือ อนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ที่หลายคนอาจจะเกาหัวแกรกๆว่า ใครวะ ?? แต่สำหรับ “คนเสื้อแดง”แล้วเป็นที่รู้จักแน่นอน ที่ผ่านมาก็มีผลงาน-วีรกรรม ที่หวือหวาพอตัว จู่ๆ โผล่มาที่ตลาดกลางคลองหลวง จนถูกเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คุมตัวไปสอบสวน ได้ความว่า แค่มาทำบุญตักบาตรในฐานะพุทธศาสนิกชน แล้วอันที่จริงก็มาป้วนเปี้ยนได้ 2-3 วันแล้วด้วย แต่“การข่าว”เพิ่งแจ้งมาที่ดีเอสไอ โดนจับเซ็นเอกสาร โผล่มาละแวกธรรมกายอีกที คุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่นนะจ๊ะ
อีกคนดังกว่ากันเยอะ ก็รายของ“ป้าเช็ง”ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ อดีตเจ้าของทีวีดาวเทียมซูเปอร์เช็ง หรือที่รู้จักกันดีในนาม “น้ำหมักป้าเช็ง”ที่คงถือโอกาสเปิดตัวว่าเป็น“สาวกธรรมกาย”อย่างเป็นทางการ เปิดพื้นที่ตลาดป้าเช็ง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ใกล้ๆ วัดพระธรรมกาย ให้ “ทีมงานธรรมกาย” ที่เข้าไม่ถึงตลาดกลางคลองหลวงไปปักหลักในตลาดตัวเองแทน จนเจ้าหน้าที่รู้ข่าว ก็เข้าไปควบคุมตัวมาได้ราว 20 ราย ในจำนวนนี้มีพระเณรอยู่ 11 รูป ชาวต่างด้าว 6 ราย โดยยอมรับว่ามาชุมนุมสนับสนุนวัดพระธรรมกาย และคัดค้านคำสั่ง มาตรา 44 ของ คสช. ล่าสุดเห็นว่า ดีเอสไอ กำลังจะออกหมายเรียก “คุณป้าเช็ง”ไปให้ข้อมูล ซึ่งคงไม่ได้ถามสูตรน้ำหมักแน่นอน ... ช่วงนี้ “ศิษย์หลงพ่อ”โดนลูกหลงกันเป็นแถบๆ
+++++++++++++
ขอมอบตำแหน่ง “ใจกว้างเป็นแม่น้ำ”ให้แก่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ ที่สู้อุตส่าห์ปลุกปั้นแล้วต่อยอด“โครงการธงฟ้าประชารัฐ”จนกล่อม “บิ๊กยี่ปั๊ว”รายใหญ่ของประเทศ 5 ราย ทั้ง เครือสหพัฒน์–ยูนิลีเวอร์ - เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ - คอลเกตปาล์มโอลีฟ - พีแอนด์จี มาเซ็นเอ็มโอยูสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการลดค่าครองชีพประชาชน เน้นไปที่สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยขอความร่วมมือให้บรรดายักษ์ขายส่งเหล่านี้ ลดราคาขายในร้านค้าปลีกแบบถาวรต่ำกว่าท้องตลาด 15-20% ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็เห็น “สนธิรัตน์”ทั้งจัดแจงวางนโยบาย พร้อมเดินสายล็อบบี้สุดตัว
ทว่า...พอถึงอีเว้นต์วันเปิดตัวโครงการเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา กลับเป็น อภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ที่“ปาดหน้าเค้ก”โผล่หน้าแฉล้มโดดขึ้นเวทีไปเคลมผลงาน โดยไม่เอ่ยถึง“รมช.สนธิรัตน์”แม้แต่น้อย บอกเพียงว่าตัวเองเป็นผู้มอบหมายให้ กรมการค้าภายใน ร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขับเคลื่อนโครงการนี้ ทำเอา “นักข่าวกระทรวง”อ้าปากค้างกันเป็นแถว ก็เจ้า 2 กรมที่ว่า “รมว.อภิรดี”ก็เป็นผู้มอบให้ “รมช.สนธิรัตน์”เป็นผู้ดูแลตอนปรับครม.เสร็จหมาดๆ พอมีผลงานอะไรหน่อยก็มาออกหน้าเคลมว่าทำด้วยตัวเอง แบบนี้ไม่น่าจะสวย ... ทำท่าจะมี “เกาเหลาชามโต”แถวๆสนามบินน้ำ อีกแล้วครับทั่น
+++++++++++++
เว้นว่างมา 4-5 เดือนได้ สำหรับเก้าอี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (อสมท) ที่เจ้าของที่นั่งอย่าง ศิวะพร ชมสุวรรณ ถูกดีดทิ้งอย่างไม่ใยดี ในข้อหา “ขาดคุณสมบัติ”ทั้งที่กระเตงกันมาร่วม 2 ปี แต่พอไปขัดใจ“ขาใหญ่แดนสนธยา”เข้าก็เก็บกระเป๋าแทบไม่ทัน หลังจากนั้นก็ดูเงียบๆ เห็นว่าเปิด-ปิดการรับสมัคร “บิ๊กบอส อสมท”กันไปเมื่อช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เข้ารับการสรรหาเบ็ดเสร็จแค่ 3 คน ซึ่งว่ากันว่ามีเพียง 2 รายที่ได้ขับเคี่ยวกัน ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ มี “แคนดิเดตรายหนึ่ง”วิ่งจนขาขวิด และเที่ยวไปคุยโวว่า ตีตราจองได้เข้ามานั่งบริหาร อสมท เรียบร้อย แต่บังเอิ๊ญ..บังเอิญ เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค โยงไปถึงอดีตนายตำรวจใหญ่ ที่มีข่าวอยู่ในตอนนี้ ส่งผลให้ขาดคุณสมบัติอย่างกะทันหัน
ทำให้“ใหญ่”เขมทัตต์ พลเดช อดีตผู้บริหารพีพีทีวี ซึ่งเคยเป็นลูกหม้อ อสมท มาในอดีต ลอยลำคว้าเก้าอี้เบอร์ 1 แดนสนธยาไปแบบสบายๆ และกำลังอยู่ในช่วงตรวจคุณสมบัติ-ทำเอกสาร-ตกลงค่าจ้าง เชื่อว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่กี่วันคงมีการประกาศอย่างเป็นทางการ พูดกันตามเนื้อผ้า ชื่อของ “เขมทัตต์” ค่อนข้างโดดเด่นกว่าผู้สมัครรายอื่นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยผลงานที่ยอมรับกันทั่ววงการวิทยุโทรทัศน์ จนได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาพันสมาคมธ์วิชาชีพวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์
ล่าสุดก็ปลุกปั้น “พีพีทีวี”จนฮอตฮิตติดลมบน ที่สำคัญยังเคยปั้นรายได้ปีเดียวเหยียบ 4 พันล้านให้กับ อสมท มาแล้ว เมื่อสมัยที่ดูแลฝ่ายขาย-การตลาด ช่วงที่ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็น ผอ. กลับมาคราวนี้ ถือว่าเป็นความท้าทายของ “เดอะใหญ่” ที่มีโจทย์ใหญ่ในการกระชากเรตติ้งของ อสมท ให้โงหัวขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันที่มีผู้เล่นในสนามมากขึ้น แถมด้วยงานสำคัญในการจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 2600 MHz ที่ อสมท ถืออยู่มาใช้ประโยชน์ภายในปี 2560 นี้ด้วย … แล้วก็ยังต้องไปฟาดฟันกับ “คนชื่อตัวเล็กๆ แต่ขาใหญ่” อีกต่างหาก.