ทุกครั้งที่ท่านผู้อ่านไปร่วมพิธีทางศาสนาของชาวพุทธ และมีพระภิกษุมาสวดมนต์ในพิธี ท่านจะได้ฟังบทสวดสรรเสริญ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ในบทสวดสรรเสริญพระสงฆ์หรือที่เรียกว่า บทสวดสังฆคุณ เริ่มด้วยสุปฏิปนฺโน และจบลงด้วยโลกสฺสาติ ซึ่งแปลเป็นไทยว่าสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ และเป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้มีอยู่ 4 คู่แฝดบุคคลเป็นเนื้อนาบุญของโลก
4 คู่แฝดบุคคลได้แก่
คู่ที่ 1 โสดาปัตติมรรค และโสดาปัตติผล
คู่ที่ 2 สกทาคามิมรรค และสกทาคามิผล
คู่ที่ 3 อนาคามิมรรค และอนาคามิผล
คู่ที่ 4 อรหัตตมรรค และอรหัตตผล
พระภิกษุซึ่งได้บรรลุธรรมขั้นโสดาปัตติมรรคขึ้นไปจนถึงอริยอรหัตตผล เรียกว่า อริยสงฆ์คือ สงฆ์ผู้ประเสริฐเป็นผู้มีภาวะคือความมี ความเป็นแตกต่างจากพระภิกษุซึ่งเป็นปุถุชนหรือสมมติสงฆ์ในด้านธรรมแต่เสมอกัน โดยศีลคือมีศีล 277 ข้อเท่ากัน แต่มีความต่างกันในด้านที่มาของศีลคือ ศีลของพระอริยสงฆ์เกิดขึ้นโดยสัมปัตตวิรัติ คือการงดเว้นที่มาพร้อมกับการได้บรรลุธรรม ดังนั้น พระอริยบุคคลจึงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล หรือสีลสัมปันโน และพระอริยบุคคลไม่ต้องอาบัติแม้สิกขาบทเล็กน้อย เนื่องจากเป็นผู้มีสติสมบูรณ์
ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีใครโจทย์อริยบุคคลด้วยอธิกรณ์ ข้ออาปัตตาธิกรณ์ ก็จะถูกระงับด้วยสติวินัย
ส่วนศีลของพระภิกษุผู้ที่ยังเป็นปุถุชนหรือสมมติสงฆ์เกิดจากสมาทานวิรัติ หรืองดเว้นหลังจากที่ได้สมาทานศีล ดังนั้นสมมติสงฆ์จึงล่วงละเมิดสิกขาบทได้ทุกประเภทไม่เว้นแม้แต่ครุกาบัติ เนื่องจากยังมีความประมาทขาดสติได้ตามภาววิสัยแห่งปุถุชน เพียงแต่เมื่อต้องอาบัติแล้ว มีสัมปชัญญะรู้ตัวภายหลัง ก็แสดงอาบัติในกรณีเป็นครุกาบัติ และอยู่แบบในกรณีที่เป็นอาบัติอย่างกลาง และลาสิกขาออกไป ในกรณีที่เป็นลหุกาบัติเพียงแค่นี้ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นสมมติสงฆ์ที่มีศีล และมีธรรมควรแก่การเคารพสักการะแล้ว แต่ถ้าต้องอาบัติแล้วยังดื้อแพ่งอยู่ ก็จะเข้าข่ายเป็นอลัชชีไม่ละอายต่อบาป และพระภิกษุผู้อยู่ในภาวะแห่งอลัชชี จัดอยู่ในจำพวกมหาโจรประเภทที่ 5 คือ เป็นผู้ปล้นฆ่าจากชาวบ้าน
ส่วนประเด็นที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไร หรือพระภิกษุรูปใดเป็นอริยสงฆ์ข้อนี้ ถ้าพิจารณาโดยยึดหลักแห่งคำสอนของพระพุทธองค์ในข้อที่ว่า สุทธิ อสุทธิ ปจฺจตฺตํ นาญโญ อญฺญํ วิโสธเย ซึ่งแปลโดยใจความว่า ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ เป็นเรื่องที่รู้เฉพาะตน คนอื่นจะทำให้คนอื่นหาได้ไม่ และใครมาสรรเสริญพระธรรมที่ว่า สวากขาโต เวทิตัพโพ วิญญูหิติ แปลโดยใจความว่า ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว พึงเห็นได้ด้วยตนเอง พึงน้อมเข้ามาเข้าใจในตน ไม่ประกอบด้วยกาลและวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
โดยนัยแห่งคำสอนเกี่ยวกับพระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งกำหนดเกี่ยวกับการเป็นอริยสงฆ์ ย่อมได้ข้อยุติอันชัดเจนว่าการที่พระภิกษุองค์ใดรูปใดได้บรรลุธรรมข้อใดหรือไม่อย่างไร ผู้ที่เป็นปุถุชนไม่มีโอกาสรู้ และยืนยันได้ว่าใครบรรลุหรือไม่บรรลุ แต่ก็มีข้ออนุมานได้ว่า เมื่อปุถุชนไม่รู้ พระอริยบุคคลย่อมรู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นพระอริยบุคคลได้หรือไม่ เกี่ยวกับประเด็นนี้ ตอบได้ว่ามีทั้งรู้และไม่รู้ กล่าวคือ พระอริยบุคคลย่อมรู้ว่า ใครเป็นหรือไม่เป็นพระอริยบุคคลในระดับเดียวกัน และในระดับต่ำกว่า แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นในระดับที่สูงกว่า ยกตัวอย่าง พระโสดาบันย่อมรู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นพระโสดาบัน แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นสกทาคามีและอนาคามี เป็นต้น และในขณะเดียวกัน พระอรหันต์ย่อมรู้ว่า ใครเป็นหรือไม่เป็นพระอรหันต์ ทั้งรู้ในทุกระดับที่ต่ำกว่าลงมา
ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีใครสักคนบอกว่า พระภิกษุรูปนี้รูปนั้นเป็นพระอริยบุคคล ก็อนุมานได้ว่าตัวผู้พูดเป็นด้วยในขั้นเดียวกันหรือสูงกว่า แต่ถ้าผู้พูดนั้นมิได้เป็นพระอริยบุคคล คำพูดนั้นก็ไม่ควรเชื่อถือแต่ประการใด จะเป็นได้ก็แค่ประเภทศรัทธาอาศัย ยกยอปอปั้น เนื่องจากมีผลประโยชน์ร่วมหรือศรัทธามืดบอดเท่านั้น
ผู้เขียนได้นำเรื่องนี้มาเขียนในช่วงนี้ ก็ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ได้มีผู้เขียนบางคนเขียนคำว่า อริยสงฆ์ลงเผยแพร่ยกยอเจ้าสำนักบางสำนักว่า เป็นอริยสงฆ์ ทั้งๆ ที่ชาวพุทธส่วนใหญ่เห็นว่า พฤติกรรมของเจ้าสำนักที่ว่านี้เข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรมเป็นอาบัติอย่างไร และที่สำคัญถ้าจำไม่ผิดเคยถูกโจทย์ด้วยอาปัตตาธิกรณ์ร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกจากอดีตผู้นำฝ่ายสงฆ์มาแล้วด้วย
2. มีพระภิกษุบางรูปในบางสำนักตั้งตนเป็นผู้วิเศษ บิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการปลูกศรัทธา และแสวงหาประโยชน์ในวิถีทางซึ่งขัดแย้งกับวินัยสงฆ์โดยสิ้นเชิง แต่ก็ดำรงอยู่ได้ในยุคที่ผู้นำสงฆ์อ่อนแอ และฝ่ายการเมืองได้ประโยชน์จากการกระทำของสงฆ์กลุ่มนี้ในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยแก่กัน
3. ในขณะนี้คณะสงฆ์ไทยนิกายเถรวาท ได้มีผู้นำฝ่ายสงฆ์พระองค์ใหม่และพระองค์ท่านได้รับการยกย่องสรรเสริญจากพุทธศาสนิกชนทั่วทั้งประเทศเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็อาจมีบางกลุ่มบางฝ่ายซึ่งเป็นส่วนน้อยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ โดยอวดอ้างคุณวิเศษของฝ่ายตน ซึ่งมีความต่างไปจากพระธรรมวินัยซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ จึงได้นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ออกมาเผยแพร่ เพื่อเป็นหลักในการตัดสินความเชื่อหรือไม่เชื่อ ความคิดเห็นของใครและฝ่ายใด โดยใช้คำสอนนี้เป็นปัจจัยประกอบการตัดสินใจ
4. เมื่อสังฆมณฑลได้ผู้นำพระองค์ใหม่ ซึ่งชาวพุทธเชื่อถือและศรัทธาโดยทั่วไปแล้ว ควรอย่างยิ่งที่ทางฝ่ายอาณาจักรโดยรัฐบาลจะได้ทำการชำระวงการสงฆ์ไทยนิกายเถรวาทให้อยู่ในกรอบพระธรรมวินัย และเป็นไปตาม พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์คุ้มครองและเกื้อหนุนให้พระพุทธศาสนาปราศจากศรัทธาแอบแฝง ซึ่งพระสงฆ์บางรูปบางสำนักใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ในทางไม่ชอบไม่ควรแก่เพศและภาวะแห่งนักบวชในนิกายเถรวาท ก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องและคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ในบทสวดสรรเสริญพระสงฆ์หรือที่เรียกว่า บทสวดสังฆคุณ เริ่มด้วยสุปฏิปนฺโน และจบลงด้วยโลกสฺสาติ ซึ่งแปลเป็นไทยว่าสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ และเป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้มีอยู่ 4 คู่แฝดบุคคลเป็นเนื้อนาบุญของโลก
4 คู่แฝดบุคคลได้แก่
คู่ที่ 1 โสดาปัตติมรรค และโสดาปัตติผล
คู่ที่ 2 สกทาคามิมรรค และสกทาคามิผล
คู่ที่ 3 อนาคามิมรรค และอนาคามิผล
คู่ที่ 4 อรหัตตมรรค และอรหัตตผล
พระภิกษุซึ่งได้บรรลุธรรมขั้นโสดาปัตติมรรคขึ้นไปจนถึงอริยอรหัตตผล เรียกว่า อริยสงฆ์คือ สงฆ์ผู้ประเสริฐเป็นผู้มีภาวะคือความมี ความเป็นแตกต่างจากพระภิกษุซึ่งเป็นปุถุชนหรือสมมติสงฆ์ในด้านธรรมแต่เสมอกัน โดยศีลคือมีศีล 277 ข้อเท่ากัน แต่มีความต่างกันในด้านที่มาของศีลคือ ศีลของพระอริยสงฆ์เกิดขึ้นโดยสัมปัตตวิรัติ คือการงดเว้นที่มาพร้อมกับการได้บรรลุธรรม ดังนั้น พระอริยบุคคลจึงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล หรือสีลสัมปันโน และพระอริยบุคคลไม่ต้องอาบัติแม้สิกขาบทเล็กน้อย เนื่องจากเป็นผู้มีสติสมบูรณ์
ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีใครโจทย์อริยบุคคลด้วยอธิกรณ์ ข้ออาปัตตาธิกรณ์ ก็จะถูกระงับด้วยสติวินัย
ส่วนศีลของพระภิกษุผู้ที่ยังเป็นปุถุชนหรือสมมติสงฆ์เกิดจากสมาทานวิรัติ หรืองดเว้นหลังจากที่ได้สมาทานศีล ดังนั้นสมมติสงฆ์จึงล่วงละเมิดสิกขาบทได้ทุกประเภทไม่เว้นแม้แต่ครุกาบัติ เนื่องจากยังมีความประมาทขาดสติได้ตามภาววิสัยแห่งปุถุชน เพียงแต่เมื่อต้องอาบัติแล้ว มีสัมปชัญญะรู้ตัวภายหลัง ก็แสดงอาบัติในกรณีเป็นครุกาบัติ และอยู่แบบในกรณีที่เป็นอาบัติอย่างกลาง และลาสิกขาออกไป ในกรณีที่เป็นลหุกาบัติเพียงแค่นี้ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นสมมติสงฆ์ที่มีศีล และมีธรรมควรแก่การเคารพสักการะแล้ว แต่ถ้าต้องอาบัติแล้วยังดื้อแพ่งอยู่ ก็จะเข้าข่ายเป็นอลัชชีไม่ละอายต่อบาป และพระภิกษุผู้อยู่ในภาวะแห่งอลัชชี จัดอยู่ในจำพวกมหาโจรประเภทที่ 5 คือ เป็นผู้ปล้นฆ่าจากชาวบ้าน
ส่วนประเด็นที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไร หรือพระภิกษุรูปใดเป็นอริยสงฆ์ข้อนี้ ถ้าพิจารณาโดยยึดหลักแห่งคำสอนของพระพุทธองค์ในข้อที่ว่า สุทธิ อสุทธิ ปจฺจตฺตํ นาญโญ อญฺญํ วิโสธเย ซึ่งแปลโดยใจความว่า ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ เป็นเรื่องที่รู้เฉพาะตน คนอื่นจะทำให้คนอื่นหาได้ไม่ และใครมาสรรเสริญพระธรรมที่ว่า สวากขาโต เวทิตัพโพ วิญญูหิติ แปลโดยใจความว่า ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว พึงเห็นได้ด้วยตนเอง พึงน้อมเข้ามาเข้าใจในตน ไม่ประกอบด้วยกาลและวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
โดยนัยแห่งคำสอนเกี่ยวกับพระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งกำหนดเกี่ยวกับการเป็นอริยสงฆ์ ย่อมได้ข้อยุติอันชัดเจนว่าการที่พระภิกษุองค์ใดรูปใดได้บรรลุธรรมข้อใดหรือไม่อย่างไร ผู้ที่เป็นปุถุชนไม่มีโอกาสรู้ และยืนยันได้ว่าใครบรรลุหรือไม่บรรลุ แต่ก็มีข้ออนุมานได้ว่า เมื่อปุถุชนไม่รู้ พระอริยบุคคลย่อมรู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นพระอริยบุคคลได้หรือไม่ เกี่ยวกับประเด็นนี้ ตอบได้ว่ามีทั้งรู้และไม่รู้ กล่าวคือ พระอริยบุคคลย่อมรู้ว่า ใครเป็นหรือไม่เป็นพระอริยบุคคลในระดับเดียวกัน และในระดับต่ำกว่า แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นในระดับที่สูงกว่า ยกตัวอย่าง พระโสดาบันย่อมรู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นพระโสดาบัน แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นสกทาคามีและอนาคามี เป็นต้น และในขณะเดียวกัน พระอรหันต์ย่อมรู้ว่า ใครเป็นหรือไม่เป็นพระอรหันต์ ทั้งรู้ในทุกระดับที่ต่ำกว่าลงมา
ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีใครสักคนบอกว่า พระภิกษุรูปนี้รูปนั้นเป็นพระอริยบุคคล ก็อนุมานได้ว่าตัวผู้พูดเป็นด้วยในขั้นเดียวกันหรือสูงกว่า แต่ถ้าผู้พูดนั้นมิได้เป็นพระอริยบุคคล คำพูดนั้นก็ไม่ควรเชื่อถือแต่ประการใด จะเป็นได้ก็แค่ประเภทศรัทธาอาศัย ยกยอปอปั้น เนื่องจากมีผลประโยชน์ร่วมหรือศรัทธามืดบอดเท่านั้น
ผู้เขียนได้นำเรื่องนี้มาเขียนในช่วงนี้ ก็ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ได้มีผู้เขียนบางคนเขียนคำว่า อริยสงฆ์ลงเผยแพร่ยกยอเจ้าสำนักบางสำนักว่า เป็นอริยสงฆ์ ทั้งๆ ที่ชาวพุทธส่วนใหญ่เห็นว่า พฤติกรรมของเจ้าสำนักที่ว่านี้เข้าข่ายอวดอุตริมนุสธรรมเป็นอาบัติอย่างไร และที่สำคัญถ้าจำไม่ผิดเคยถูกโจทย์ด้วยอาปัตตาธิกรณ์ร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกจากอดีตผู้นำฝ่ายสงฆ์มาแล้วด้วย
2. มีพระภิกษุบางรูปในบางสำนักตั้งตนเป็นผู้วิเศษ บิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการปลูกศรัทธา และแสวงหาประโยชน์ในวิถีทางซึ่งขัดแย้งกับวินัยสงฆ์โดยสิ้นเชิง แต่ก็ดำรงอยู่ได้ในยุคที่ผู้นำสงฆ์อ่อนแอ และฝ่ายการเมืองได้ประโยชน์จากการกระทำของสงฆ์กลุ่มนี้ในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยแก่กัน
3. ในขณะนี้คณะสงฆ์ไทยนิกายเถรวาท ได้มีผู้นำฝ่ายสงฆ์พระองค์ใหม่และพระองค์ท่านได้รับการยกย่องสรรเสริญจากพุทธศาสนิกชนทั่วทั้งประเทศเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็อาจมีบางกลุ่มบางฝ่ายซึ่งเป็นส่วนน้อยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ โดยอวดอ้างคุณวิเศษของฝ่ายตน ซึ่งมีความต่างไปจากพระธรรมวินัยซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ จึงได้นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ออกมาเผยแพร่ เพื่อเป็นหลักในการตัดสินความเชื่อหรือไม่เชื่อ ความคิดเห็นของใครและฝ่ายใด โดยใช้คำสอนนี้เป็นปัจจัยประกอบการตัดสินใจ
4. เมื่อสังฆมณฑลได้ผู้นำพระองค์ใหม่ ซึ่งชาวพุทธเชื่อถือและศรัทธาโดยทั่วไปแล้ว ควรอย่างยิ่งที่ทางฝ่ายอาณาจักรโดยรัฐบาลจะได้ทำการชำระวงการสงฆ์ไทยนิกายเถรวาทให้อยู่ในกรอบพระธรรมวินัย และเป็นไปตาม พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์คุ้มครองและเกื้อหนุนให้พระพุทธศาสนาปราศจากศรัทธาแอบแฝง ซึ่งพระสงฆ์บางรูปบางสำนักใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ในทางไม่ชอบไม่ควรแก่เพศและภาวะแห่งนักบวชในนิกายเถรวาท ก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องและคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง