ผู้จัดการรายวัน360-"สมคิด"สั่งปรับเป้าส่งออกปีนี้ใหม่เป็นโต 5% จากเดิม 3% ชี้เป็นเป้าท้าทายการทำงาน หลังประเมินเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้าปีนี้ขยายตัวได้ดี ทั้งสหรัฐฯ จีน และอาเซียน ลั่นอย่าไปเชื่อคำทำนายให้มาก ปีก่อนธนาคารโลกบอกไทยจะโต 2% แต่สุดท้ายโตถึง 3.2% ระบุต้องเน้นใช้การเจรจา FTA และหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในการขับเคลื่อน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายให้ผู้อำนวยการส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่กระทรวงพาณิชย์ วานนี้ (20 ก.พ.) ว่า ในปี 2560 ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ผลักดันการส่งออกของไทยในปีนี้ให้เติบโต 5% จากเป้าหมายเดิม 3% ซึ่งเป็นเป้าที่ท้าทาย เพราะมองว่าหลายปัจจัยในปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจคู่ค้าที่สำคัญ เช่น จีน สามารถรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ได้ สหรัฐฯ คาดว่าแนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ที่สำคัญคือ อาเซียน ซึ่งมีสัดส่วนต่อการส่งออกไทยภาพรวมถึง 25% ยังขยายตัวได้ดีอยู่ รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรในปีนี้ก็ปรับตัวดีขึ้น
“เป้าหมายการส่งออกโต 5% ถือเป็นเป้าท้าทาย เพราะถ้าไม่ตั้งเป้าหมายไว้สูง ประเทศก็เดินต่อไปไม่ได้ แต่ก็ยอมรับว่ายังมีเรื่องความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศยักษ์ใหญ่ ซึ่งทูตพาณิชย์จะต้องวิ่งทำงาน และไม่ต้องไปเชื่อคำทำนายเศรษฐกิจต่างๆ เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่างก่อนหน้าธนาคารโลกเคยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2559 จะเติบโต 2% แต่สุดท้ายแล้วเศรษฐกิจไทยก็เติบโตได้ 3.2% ซึ่งเป็นอัตราที่น่าพอใจ”นายสมคิดกล่าว
นายสมคิดกล่าวว่า การจะผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ 5% กระทรวงพาณิชย์จะต้องทำยุทธศาสตร์ คือ เรื่องการเจรจาทวิภาคี โดยมุ่งเน้นไปที่การเจรจาจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ (Strategic Partnership) โดยในเรื่องของ FTA เป็นการลดภาษี แต่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องของการเจรจารายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ลดภาษีเพียงอย่างเดียว โดยประเทศหลักๆ ที่จะต้องเจรจาหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ คือ ตลาด CLMV ที่จะต้องหาทางเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน ตลาดยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ที่จะต้องเข้าไปเจรจา เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดยุโรปให้ได้
นอกจากนี้ ยังได้ขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนรายใหญ่ของไทยไปรวมกลุ่มตั้งร้านหรือเอาท์เล็ตในการขายสินค้าเกษตรและอาหารของไทยตามเมืองใหญ่ๆ เช่น แอลเอ นิวยอร์ค ยุโรป และจีน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรและอาหารของไทย โดยกระทรวงพาณิชย์จะต้องเป็นแกนหลักที่จะผลักดันให้เอกชนเหล่านี้รวมกลุ่มกัน และหากเอกชนต้องการความช่วยเหลือ ก็ให้แจ้งเข้ามายังรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถตั้งร้านเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง เพราะจะเป็นรัฐวิสาหกรรม ต้องใช้เครื่องมือของภาคเอกชนในการทำ
ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ต้องเร่งผลักดันการส่งออกธุรกิจบริการ และการออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะจะมองแต่ตัวเลขการส่งออกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ โดยขณะนี้ ภาคบริการมีสัดส่วนต่อจีดีพีประเทศถึง 30% ดังนั้น นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว จะมีบริการใดอีกบ้างที่ไทยสามารถผลักดันได้ เช่น แอนิเมชั่น เป็นต้น และต่อไปการดูตัวเลขจะต้องดูทั้งตัวเลขการส่งออกสินค้า สินค้าบริการ และการลงทุนในต่างประเทศ
นายสมคิดกล่าวว่า สำหรับนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองว่าน่าจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดีขึ้น และโอกาสของไทยในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ส่วนเรื่องมาตรการกีดกันทางการค้ายังต้องจับตาดูก่อน ยังประเมินไม่ได้ ขณะที่การออกจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) เชื่อว่าไม่กระทบไทย และทำให้ทุกฝ่ายมุ่งสู่การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์มากกว่า
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การตั้งเป้าหมาย 5% สามารถทำได้ เพราะเป็นเป้าท้าทาย แต่ส.อ.ท.มองว่าปี 2560 การส่งออกไทยจะเติบโตได้แค่ 2.5-3% เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับภาคเอกชนอี่นๆ เช่น สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) มองว่าโต 2% คณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) มองโต 1-3% เท่านั้น
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายให้ผู้อำนวยการส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่กระทรวงพาณิชย์ วานนี้ (20 ก.พ.) ว่า ในปี 2560 ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ผลักดันการส่งออกของไทยในปีนี้ให้เติบโต 5% จากเป้าหมายเดิม 3% ซึ่งเป็นเป้าที่ท้าทาย เพราะมองว่าหลายปัจจัยในปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจคู่ค้าที่สำคัญ เช่น จีน สามารถรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ได้ สหรัฐฯ คาดว่าแนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ที่สำคัญคือ อาเซียน ซึ่งมีสัดส่วนต่อการส่งออกไทยภาพรวมถึง 25% ยังขยายตัวได้ดีอยู่ รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรในปีนี้ก็ปรับตัวดีขึ้น
“เป้าหมายการส่งออกโต 5% ถือเป็นเป้าท้าทาย เพราะถ้าไม่ตั้งเป้าหมายไว้สูง ประเทศก็เดินต่อไปไม่ได้ แต่ก็ยอมรับว่ายังมีเรื่องความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศยักษ์ใหญ่ ซึ่งทูตพาณิชย์จะต้องวิ่งทำงาน และไม่ต้องไปเชื่อคำทำนายเศรษฐกิจต่างๆ เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่างก่อนหน้าธนาคารโลกเคยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2559 จะเติบโต 2% แต่สุดท้ายแล้วเศรษฐกิจไทยก็เติบโตได้ 3.2% ซึ่งเป็นอัตราที่น่าพอใจ”นายสมคิดกล่าว
นายสมคิดกล่าวว่า การจะผลักดันการส่งออกให้เติบโตได้ 5% กระทรวงพาณิชย์จะต้องทำยุทธศาสตร์ คือ เรื่องการเจรจาทวิภาคี โดยมุ่งเน้นไปที่การเจรจาจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ (Strategic Partnership) โดยในเรื่องของ FTA เป็นการลดภาษี แต่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องของการเจรจารายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ลดภาษีเพียงอย่างเดียว โดยประเทศหลักๆ ที่จะต้องเจรจาหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ คือ ตลาด CLMV ที่จะต้องหาทางเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน ตลาดยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ที่จะต้องเข้าไปเจรจา เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดยุโรปให้ได้
นอกจากนี้ ยังได้ขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนรายใหญ่ของไทยไปรวมกลุ่มตั้งร้านหรือเอาท์เล็ตในการขายสินค้าเกษตรและอาหารของไทยตามเมืองใหญ่ๆ เช่น แอลเอ นิวยอร์ค ยุโรป และจีน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรและอาหารของไทย โดยกระทรวงพาณิชย์จะต้องเป็นแกนหลักที่จะผลักดันให้เอกชนเหล่านี้รวมกลุ่มกัน และหากเอกชนต้องการความช่วยเหลือ ก็ให้แจ้งเข้ามายังรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถตั้งร้านเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง เพราะจะเป็นรัฐวิสาหกรรม ต้องใช้เครื่องมือของภาคเอกชนในการทำ
ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ต้องเร่งผลักดันการส่งออกธุรกิจบริการ และการออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะจะมองแต่ตัวเลขการส่งออกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ โดยขณะนี้ ภาคบริการมีสัดส่วนต่อจีดีพีประเทศถึง 30% ดังนั้น นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว จะมีบริการใดอีกบ้างที่ไทยสามารถผลักดันได้ เช่น แอนิเมชั่น เป็นต้น และต่อไปการดูตัวเลขจะต้องดูทั้งตัวเลขการส่งออกสินค้า สินค้าบริการ และการลงทุนในต่างประเทศ
นายสมคิดกล่าวว่า สำหรับนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองว่าน่าจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดีขึ้น และโอกาสของไทยในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ส่วนเรื่องมาตรการกีดกันทางการค้ายังต้องจับตาดูก่อน ยังประเมินไม่ได้ ขณะที่การออกจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) เชื่อว่าไม่กระทบไทย และทำให้ทุกฝ่ายมุ่งสู่การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์มากกว่า
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การตั้งเป้าหมาย 5% สามารถทำได้ เพราะเป็นเป้าท้าทาย แต่ส.อ.ท.มองว่าปี 2560 การส่งออกไทยจะเติบโตได้แค่ 2.5-3% เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับภาคเอกชนอี่นๆ เช่น สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) มองว่าโต 2% คณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) มองโต 1-3% เท่านั้น