xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์เล็งยกเครื่องหน่วยงานข่าวกรอง

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

มาถึงจุดนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีหลายพันล้านเหรียญอาจนั่งคิดบางช่วงว่าคุ้มหรือไม่กับการได้เป็นผู้นำชาติมหาอำนาจ แต่มีปัญหาสารพัด มีทั้งขบวนการเตะตัดขาจากคนในชาติเดียวกัน สื่อกระแสหลักยังไม่ยอมเลิกรุมสกรัมตั้งแต่วันแรกจนถึงบัดนี้

เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับอดีตประธานาธิบดีคนก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นยุคของพรรครีพับลิกัน หรือเดโมแครตที่ได้กุมอำนาจรัฐ อย่างน้อยที่สุดก็จะมีช่วงฮันนีมูน 100 วันของการทำงาน ได้รู้ว่าผู้นำคนใหม่จะส่อแววเข้าท่า หรือไม่เอาไหน

ทรัมป์คงคิดว่าอย่างไรก็คุ้ม ปัญหาต่างๆ คือการท้าทาย มีไว้ทดสอบความสามารถ ตนเองได้ผ่านการเป็นผู้บริหารองค์กรธุรกิจ สำเร็จก็เยอะ เจ๊งก็ไม่น้อย ถือว่าเป็นเรื่องปกติของคนทำงานใหญ่ ย่อมมีอุปสรรคความเสี่ยง ก่อนลงเอยด้วยความสำเร็จหรือล้มเหลว

ยิ่งงานนี้ถือว่าไม่ต้องคิดเยอะ การได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย ช่วงการหาเสียงเหมือนกับว่ายน้ำอยู่กลางดงฉลามหิว ขึ้นฝั่งมาแล้วต้องเดินอยู่ในดงกับระเบิด อยู่กลางฝูงคนต้องระวังข้างหลัง ทรัมป์ไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่ปากร้ายตามประสาเศรษฐีมีเงินแล้วกร่าง

แผนล่าสุดก็คือ ทรัมป์ต้องการยกเครื่องบรรดาองค์กรและหน่วยงานด้านข่าวกรอง สืบราชการลับ ปฏิบัติการลับ เช่น สำนักข่าวกรองกลางคือ ซีไอเอ สำนักงานความมั่นคง และองค์กรข่าวกรองแห่งชาติ ด้วยการหาคนฝีมือดีมาจัดการและ “เอาอยู่” ให้ได้แน่ๆ

ช่วงหาเสียง ทรัมป์โดนเล่นงานโดยซีไอเอ อ้างว่าคนใกล้ชิดมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลรัสเซีย และอ้างว่าทรัมป์อาจถูกแอบถ่ายโดยสายลับรัสเซียช่วงที่ตัวเองไปยุ่งกับคุณตัวเมื่อไปเยือนกรุงมอสโกในสถานภาพนักธุรกิจ เสี่ยงต่อการโดนแบล็กเมล์ภายหลัง

ร้อนถึงผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ออกมาพูดเชิงเหน็บเอาว่า จะไปทำอย่างนั้นทำไม เพราะยังไม่มีวี่แววในช่วงนั้นว่าทรัมป์จะเข้ามาเล่นการเมืองจนได้เป็นประธานาธิบดี และยังมีอีกหลายเรื่องซึ่งทรัมป์เองก็ย้อนตอกหน้าซีไอเอว่าไม่น่าเชื่อถือ

ทรัมป์พูดเยาะเย้ยซีไอเอว่าได้เคยป้อนข่าวกรอง ข้อมูลเท็จให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ว่าอิรักมีอาวุธมหาประลัยร้ายแรง ทำให้สหรัฐฯ รวบรวมกำลังทหารจากประเทศพันธมิตรบุกอิรัก ทำให้ประเทศนั้นบ้านแตกสาแหรกขาด ฆ่ากันตาย วุ่นวายจนทุกวันนี้

ทรัมป์สะสมความไม่พอใจกับการทำงานของหน่วยงานข่าวกรอง ซึ่งมีข้อมูลลับต่างๆ และตั้งใจปล่อยให้หลุดเพื่อเตะตัดขาตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวเกี่ยวกับตัวนายไมเคิล ฟลินน์ ซึ่งได้พูดคุยกับนักการทูตรัสเซียก่อนการรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคง

การปล่อยข่าวได้บีบให้ฟลินน์ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งช่วงต้นสัปดาห์! นอกจากนั้นยังมี “ข่าวรั่วและข่าวปล่อย” อีกหลายเรื่องส่งผลกระทบด้านลบต่อรัฐบาลของทรัมป์ และเชื่อกันว่าพวกองค์กรข่าวกรองนี้แหละอยู่เบื้องหลังแผนเจาะยางทรัมป์

แผนยกเครื่องหน่วยงานข่าวกรองหลักนั้น มีข่าวว่าทรัมป์กำลังเล็งมหาเศรษฐีแห่งมหานครนิวยอร์ก สตีเวน เอ. ไฟน์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เซอร์เบอรัส แคปปิตัล แมเนจเม้นท์ ให้เข้ามารับภารกิจประเมินผล สะสางงานต่างๆ ของหน่วยข่าวกรองหลัก

การกำหนดวางตัวคนของตัวเองเข้าไปคุมงานของสำนักข่าวกรอง จะทำให้รับรู้ความเคลื่อนไหวของผู้บริหารองค์กรและผู้ปฏิบัติงานในระดับต่างๆ ตัวไฟน์เบิร์ก ก็ถูกมองว่าอาจมีบทบาทได้ควบคุมกำกับงานปฏิบัติการลับ โดยปกติเป็นงานหลักของเจ้าหน้าที่ประจำ

เพียงแว่วข่าวนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานเกี่ยวกับข่าวกรองมีทั้งตื่นเต้น หวาดผวา กลัวว่าตัวแทนของทรัมป์จะมาปรับโครงสร้างต่างๆ ทำให้ความเป็นอิสระ ความคล่องตัวในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่สะดวกเหมือนที่เป็นอยู่ มีคนมากำกับดูแลอย่างใกล้ชิดให้ได้เรื่องได้ราว

เจ้าหน้าที่บางฝ่ายชี้ว่าผลสุดท้ายไฟน์เบิร์ก อาจได้รับตำแหน่งสูงสุด รวบยอดงานควบคุมองค์กรเกี่ยวกับงานข่าวกรองและปฏิบัติการลับ ไฟน์เบิร์กมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับหัวหน้าทีมยุทธศาสตร์ สตีเฟน เค.แบนนอน และจาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยทรัมป์

ทั้งคู่มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเช่นกัน ถ้าได้รับการแต่งตั้งจริง ทรัมป์จะมีทีมร่วมงานเชื่อมโยงความสัมพันธ์แนบแน่น เป็นกลุ่มผู้จงรักภักดีต่อผู้นำในทำเนียบขาว และเครือข่ายฐานอำนาจการเมืองน่าเกรงขาม จำเป็นสำหรับงานใหญ่ด้านความมั่นคง

สำคัญที่ว่าถ้า “เอาไม่อยู่” ทรัมป์จะถูกเจ้าหน้าที่สำนักข่าวกรองต่างๆ เจาะยางอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ต้องรอดูว่าถ้ามีคนเข้ามาคุมซีไอเอและหน่วยงานอื่นๆ จะมีการล้างบางหรือไม่ ซีไอเอก็ไม่ธรรมดา บางยุคถูกสงสัยว่ามีเครือข่ายอำนาจมากจนเป็นรัฐซ้อนรัฐ

ในปี 1973 ซีไอเอเคยปฏิบัติการลับอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่ไม่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ เคยใช้บริษัทเอกชนเป็นฉากบังหน้าให้ทหารทำรัฐประหารล้มรัฐบาลนายซัลวาดอร์ อัลเลนเด ประธานาธิบดีสายมาร์กซิสต์ของประเทศชิลี จนต้องฆ่าตัวตาย

ซีไอเอเคยทำสงครามในลาว สนับสนุนนายพลวังเปา ผู้นำกองทัพชาวม้ง มีฐานปฏิบัติการที่ทุ่งไหหิน ซำทอง ล่องแจ้ง ถูกกล่าวหาว่าซื้อขายยาเสพติดเพื่อเอาไว้เป็นทุนทำสงคราม เป็นนายจ้างของทหารรับจ้างจากประเทศไทย มีกองบัญชาการที่อุดรธานี

การไปยุ่งกับซีไอเอและองค์กรด้านข่าวกรองถือว่าเป็นความเสี่ยงสำหรับทรัมป์เช่นกัน หน่วยงานเหล่านี้มีผลประโยชน์ มีงบลับสำหรับภารกิจลับ ดังนั้น จึงต้องมีผู้อำนวยการแต่งตั้งโดยการเมืองให้เข้าคุมกำหนดนโยบายรับรู้งานจารกรรมต่างๆ

ที่สำคัญ การที่ทรัมป์ไปอี๋อ๋อกับรัสเซียมากเกินไป ย่อมสร้างความตื่นตระหนกต่อหน่วยงานข่าวกรองซึ่งต้องมองรัสเซียว่าเป็นศัตรู เป็นภัยต่อความมั่นคง พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าสหรัฐฯ เป็นมิตรกับรัสเซีย ซีไอเอก็มีงานน้อยลง อิทธิพลก็น้อย งบราชการลับก็ถูกตัด

แน่นอน ผู้บริหารองค์กรเหล่านี้ย่อมไม่พอใจ ถ้าบทบาทและอิทธิพลขององค์กรไม่มีความสำคัญเหมือนแต่ก่อน ทรัมป์อาจโดนเจาะยางมากกว่าเดิมโดยข่าวปล่อยด้านลบเกี่ยงโยงตัวเอง สมาชิกครอบครัว หรือคนในรัฐบาล เท่ากับว่าทรัมป์เผชิญแนวรบน่ากลัว

ศัตรูด้านหนึ่งคือองค์กรสื่อกระแสหลัก และสำนักข่าวกรองต่างๆ ถ้าทั้ง 2 กลุ่มนี้ร่วมมือกันเล่นงานทรัมป์อย่างเต็มที่ต่อเนื่อง เพื่อเขย่าเก้าอี้ทำเนียบขาว มีพวกเดินขบวนป่วนเมือง น่าสงสัยเหมือนกันว่าทรัมป์จะรอดได้นานหรือไม่ ดูแล้วน่าหนักใจแทนจริงๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น