ขณะกำลังเขียนต้นฉบับชิ้นนี้...ยังไม่รู้ว่าปฏิบัติการ “บุกธรรมกาย” ไปถึงไหนต่อถึงไหนบ้างแล้ว รู้แค่ว่า...งานนี้รัฐบาลท่านคงเอาจริง ไม่งั้น...คงไม่ถึงขั้นต้องงัดมาตราฉี่ฉิบฉี่ออกมาใช้ แนวโน้มที่จะนำไปสู่รายการปิดฉาก ปิดกล่อง จึงน่าจะอยู่ไม่ใกล้-ไม่ไกล นับจากนี้...
ดังนั้น...ไม่ว่าจะช้า-ไม่ช้า ตรงไป-ตรงมา หรือต้อง “ลับ-ลวง-ครางง์ง์ง์” กันไปถึงขั้นไหน แต่คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ถ้าหากเป็น “รัฐบาลประชาธิปไตย” แบบธรรมดาๆ หรือแบบไทยๆ แล้ว โอกาสที่จะจัดการปัญหาที่ว่า มันน่าจะลำบากเอามากๆ ไม่ใช่แค่มาช้า เผลอๆ แถม “ไม่มา” อีกต่างหาก ด้วยเหตุเพราะการฝังรากการแผ่ขยายเครือข่าย โดยอาศัย “จุดอ่อน” ของสังคมไทยในแง่ “ความเชื่อ-ความศรัทธา” อันมักไม่ค่อยได้ประกอบไปด้วย “ความรู้” มากมายซักเท่าไหร่ ทั้ง “อาณาจักร” และ “ศาสนจักร” ต่างถูกแปรสภาพไปเป็นเครื่องมือรับใช้ “ทุนสามานย์” แบบเต็มๆ เนื้อๆ...
ส่วน “เผด็จการ” นั้น...ถ้าหากเป็นเผด็จการประเภทมุ่งหาผลประโยชน์จากอำนาจ เพื่อพวกพ้องและบริวารดังที่เคยมี เคยเป็นมาหลายยุคหลายสมัย ยังไงๆ...คงต้อง “เสร็จธรรมกาย” กันอีกจนได้นั่นแหละทั่น!!! ดังนั้น...การที่ธรรมกายดันมา “เสร็จเผด็จการ” ในช่วงนี้ อาจพอใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ ยืนยันได้บ้างว่า เผด็จการที่ว่า...น่าจะไม่ใช่เผด็จการที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจเพื่อพวกพ้องและบริวารเป็นสำคัญ เป็นเผด็จการที่พยายามยึดเอาผลประโยชน์ส่วนรวม หรือผลประโยชน์แห่งชาติ เป็นที่ตั้ง โดยแสดงให้เห็นจากพฤติกรรมหลายต่อหลายเรื่อง หลายต่อหลายกรณี รวมทั้งกรณี “ธรรมกาย” ที่กำลังเห็นๆ กันอยู่ในทุกวันนี้...
แต่ก็แน่ล่ะว่า...กว่าจะเอาให้ได้ เอาให้อยู่ หนีไม่พ้นต้อง “ลับ-ลวง-ครางง์ง์ง์” กันประมาณ 3 ชั้น 8 ชั้นเป็นอย่างน้อย ตามประสา “เผด็จการละมุนภัณฑ์” ที่ไม่ต้องการเห็นความขัดแย้ง แตกแยก การฉีกขาดสังคมออกไปเป็นชิ้นๆ มากมายเกินไปกว่านี้ กว่าจะค่อยๆ และเล็ม ขยุ้ม ถอนขน โกนขน บรรดาขุมข่ายเครือข่ายต่างๆ ออกไปทีละเส้นสองเส้น หรือทีละแถบ ตามแผน “โกนขนให้โลนเดียวดาย” ไม่เพียงแต่ต้องใช้ฝีมือและมันสมองเท่านั้น ยังต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น กันเป็นจำนวนไม่น้อย กว่าจะมาถึงจุดที่ศาสนจักร...มีโอกาสอยู่ภายใต้การนำขององค์พระประมุขทางศาสนา ที่ถือเป็น “พระแท้” ไม่ใช่ “พระเทียม” อีกต่อไป จุดที่บรรดาลัทธิ ความเชื่อแปลกๆ แผลงๆ ซึ่งพยายามเบี่ยงเบนเป้าหมายของพุทธศาสนาให้แฉลบออกข้าง กลายเป็นแค่เครื่องมือรับใช้กิเลสตัณหาของตนเองและพรรคพวกบริวาร ต้องหยุดชะงักการเติบโต และกำลังเสื่อมสลายลงไปเอง ตาม “เหตุปัจจัย” หรือตาม “กรรม” ที่ได้ก่อเอาไว้ ฯลฯ อันนี้...ยังไงๆ คงต้องให้ “เครดิตเผด็จการ” เอาไว้มั่ง!!!
ด้วยเหตุนี้...สิ่งสำคัญที่น่าจะหยิบเอามาใช้เป็นบทเรียน อุทาหรณ์ สำหรับนิทานเรื่องนี้ก็คือ สำหรับผู้ที่รักชาติบ้านเมืองทั้งหลายแล้ว...อย่าถึงกับต้องไปเสียเวลาปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตย เผด็จการ-ไม่เผด็จการจนเกินไป เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว...มันก็แค่ “กรรมวิธี” เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ควรนำมาใช้เป็นหลักยึดแนวทางสำหรับการ “เดินหน้าประเทศไทย” ให้ไปสู่ความเป็นแผ่นดินอันงดงามให้จงได้ มันคงต้องมองกันที่ “เป้าหมาย” นั่นแหละเป็นสำคัญ เพราะไม่ว่าจะโดยกรรมวิธีใดๆ ก็ตาม...ถ้าหากปราศจากเป้าหมายที่พึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน “ธรรมะ” อันถือเป็น “สุดยอดปรารถนา” ชนนิกรทุกหมู่เหล่าของสังคมทุกๆสังคม ซะอย่างแล้ว ย่อม...ใช้ไม่ได้!!! ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
ดังนั้น...สำหรับบางช่วง บางระยะ ที่หนีไม่พ้นต้องอาศัยเผด็จการมาใช้เป็น “กรรมวิธี” ถ้าหากเผด็จการนั้นๆ ยังพยายามยึดมั่นใน “ธรรม” ไม่คิดจะแปรเปลี่ยน เบี่ยงเบนไปในทางอื่นมากมายนัก อย่างน้อย...ก็น่าจะคิดๆ ถึงสิ่งที่ “อภิมหาพระ” อย่าง “ท่านพุทธทาสภิกขุ” ท่านได้ให้อนุสติเอาไว้สำหรับผู้ใฝ่ธรรม ผู้ยึดมั่นในธรรม ทั้งหลายนั่นแหละว่า... “เผด็จการนั้น...ถ้าหากเป็นเผด็จการโดยธรรม ย่อมสามารถยอมรับได้” เพราะอีกไม่ช้า-ไม่นาน คงหนีไม่พ้นต้องมาปวดหัวกันต่อ ว่าจะหาทางทำให้พวก “นักประชาธิปไตย” ทั้งหลาย...ยึดมั่นอยู่ใน “ธรรม” ได้มากน้อยเพียงใด เผลอๆ...อาจเหนื่อยซะยิ่งกว่าพวกเผด็จการไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!!!