xs
xsm
sm
md
lg

“ทรัมป์-อาเบะ” กับ “ความกลัวจีน” (จบ)/ทับทิม พญาไท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท

ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ นายโรดริโก ดูเตอร์เต
ถ้าจะว่ากันถึงปริมาณน้ำมันและแก๊ส...ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในบริเวณทะเลจีนตะวันออก หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “โบไฮ่” (Bohai) อันเป็นทะเลแบบกึ่งปิด (Semi-close Sea) ที่ไล่มาจากฝั่งตะวันออกของแผ่นดินจีน แถวๆ ปากแม่น้ำแยงซี ไปจนจรดเกาะเชจู (Jesu) ในเกาหลีใต้ ด้านเหนือเชื่อมต่อกับทะเลเหลือง ส่วนด้านใต้ติดต่อกับทะเลจีนใต้ อันรวมเอาจุดไฮไลต์อย่างเกาะ “เซนกากุ” หรือ “เตียวหยู” เข้าไว้ด้วยนั้น แม้ว่า ณ ขณะนี้...ยังไม่ถึงมีข้อสรุปชัดเจนว่า จะมีปริมาณที่แน่นอนอยู่ซักเท่าไหร่ คือในขณะที่หน่วยงานอย่าง “EIA” (US. Energy Information Administration) ของสหรัฐฯ ประมาณการเอาไว้ว่า น่าจะมี “แหล่งสำรองน้ำมัน” ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาร์เรลขึ้นไป และแหล่งแก๊สไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านคิวบิกฟุต แต่หน่วยงานพลังงานของจีนถึงกับคาดว่า น่าจะมีแหล่งสำรองน้ำมันไม่น้อยกว่า 160 ล้านบาร์เรลขึ้นไป และแหล่งแก๊สไม่น้อยกว่า 250 ล้านล้านคิวบิกฟุต เป็นอย่างน้อย...

แต่ไม่ว่าใครผิด-ใครถูก...บริเวณพื้นที่ทะเลจีนตะวันออก โดยเฉพาะรอบๆ กลุ่มเกาะ “เซนกากุ” หรือ “เตียวหยู” นั้น ต่างถูกถือเป็น “แหล่งสำรองน้ำมันและแก๊สระดับโลก” เผลอๆ...อาจใหญ่ที่สุดในโลกเอาเลยก็ว่าได้ เพราะปริมาณพลังงานที่คาดๆ กันเอาไว้ ไม่ว่าจากหน่วยงานของสหรัฐฯ หรือจีน ล้วนแสดงตัวเลขสูงซะยิ่งกว่าแหล่งสำรองน้ำมันและแก๊สของอิหร่านด้วยซ้ำไป ทั้งญี่ปุ่นและจีน...ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่ “เสพติดพลังงาน” ไปด้วยกันทั้งคู่ ย่อมหนีไม่พ้นต้องเกิดอาการ “ลงแดง” เกิดอาการกระเหี้ยนกระหือรือต่อการเข้าไปครอบครอง หรือเข้าไปแบ่งสันปันส่วนจำนวนพลังงานแต่ละรูป แต่ละแบบ ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในบริเวณเกาะแห่งนี้ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ชนิดไม่มึง-ก็กู อาจต้อง “ตายไปข้าง” อะไรประมาณนั้น...

และด้วยจุดๆ นี้นี่เอง...ที่ทำให้ “เพื่อนนักกอล์ฟ” ระดับแฮนดิแคป +3 อย่าง “ทรัมป์ บาเบอร์” หรือ “ชูวิทย์ ทรัมป์” ถึงได้หันมาเปลี่ยนน้ำเสียง เปลี่ยนอากัปกิริยาจากที่เคย “แกว่งปากหาตีน” ข่มขู่ กดดันญี่ปุ่นมาโดยตลอดหันมา “หยอดคำหวาน” ว่าพร้อมจะปกป้องญี่ปุ่นโดยไม่หวังคิดเงินคิดทองใดๆ อีกต่อไปแล้ว โดยพร้อมจะขยายการปกป้องให้ครอบคลุมไปถึงพื้นที่พิพาทระหว่างญี่ปุ่นกับจีน คืออาณาบริเวณอันเป็นที่ตั้งของเกาะเซนกากุ หรือเตียวหยูควบคู่ไปด้วย หรือพูดง่ายๆ ว่าพยายามหันไป “ยุญี่ปุ่น” ให้ “กัดกับจีน” หนักยิ่งๆ ขึ้นไป โดยไม่ต้องไปลดราวาศอกใดๆ แม้แต่น้อย เนื่องจากสหรัฐฯ พร้อมยืนหยัดเคียงข้างเสมอๆ หรืออาจเรียกได้ว่า...แทนที่จะใช้ “การปิดล้อมจีน” แบบเดิมๆ ก็อาจหันมาใช้กรณีความขัดแย้งระหว่างจีน-ญี่ปุ่น ต่อ “อภิมหาแหล่งพลังงาน” ในบริเวณเกาะเซนกากุ หรือเตียวหยูนี่แหละ เป็นตัวยั่วยุให้เกิด “การปะทะกับจีน” โดยอาศัยญี่ปุ่นเป็นหัวหอก...

แต่ก็แน่ล่ะว่า...ความพยายาม “หลอกแดก” ญี่ปุ่นในคราวนี้ ถึงแม้ “ชินโสะ อาเบะ” จะเป็นนักกอล์ฟประเภทแฮนดิแคปแค่ +20 เท่านั้นเอง อาจเลี่ยงไม่พ้นต้อง “โดนแดก” ในสนามกอล์ฟอย่างมิอาจปฏิเสธได้ แต่ในสนามอื่นๆ แล้ว...สำหรับผู้นำญี่ปุ่นรายนี้ ต้องเรียกว่าเพียบพร้อมไปด้วยขีดความสามารถในการ “แดก” ใครต่อใครมาโดยตลอด แม้แต่ชาวญี่ปุ่นด้วยกันเองก็เถอะ คือสามารถอาศัย “ความกลัวจีน” ของอเมริกานั่นเอง มาใช้เป็นตัวเพิ่มบทบาทของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชียได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเอามากๆ รวมทั้งยังสามารถใช้เจาะทะลวงไปสู่ผลประโยชน์ของญี่ปุ่นในอีกหลายต่อหลายเรื่อง แม้แต่ใช้เป็นเงื่อนไข ข้ออ้าง เพื่อเปลี่ยนประเทศญี่ปุ่น จากที่เคยมีฤทธิ์มีเดช แต่เฉพาะเรื่องค้าๆ ขายๆ ให้กลับมามีฤทธิ์มีเดชในเรื่องการเมือง การทหาร ชนิดเริ่มใกล้ๆ กับครั้ง “จักรวรรดิญี่ปุ่น” เมื่อยุคอดีต ที่เคยทำให้พวกฝรั่งรัสเซีย ยุโรป หรือแม้แต่อเมริกา ต้องครั่นคร้ามกับแสนยานุภาพทางทหารของญี่ปุ่นชนิดขี้ขึ้นสมองไปตามๆ กัน โดยเฉพาะถ้าหากญี่ปุ่นสามารถนำเอาความกลัวเหล่านี้ มาใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น จนสามารถฟื้นอำนาจทางทหารของตัวเองให้กลับคืนขึ้นมาใหม่ ถึงจังหวะนั้นนั่นแหละ...แทบไม่รู้ว่าใครจะแดกใคร หรือใครเป็นฝ่ายถูกแดกในขั้นตอนสุดท้าย!!!

สรุปรวมความแล้ว...เอาเป็นว่า ภายใต้การดำเนินวิเทโศบายต่างประเทศที่มี “ความกลัว” เป็นพื้นฐานนั่นเอง การออกรอบก๊วนกอล์ฟของ “ทรัมป์” และ “อาเบะ”คราวนี้ ย่อมมีส่วนส่งผลให้คุณพี่จีน ยิ่งหนีไม่พ้นต้อง “กลัว” เอาไว้ก่อน เพราะแม้ว่าบรรยากาศแห่งความน่ากลัวใน “ทะเลจีนใต้” จะลดๆ ซาๆ ลงไปไม่น้อย หลังจากผู้นำฟิลิปปินส์อย่าง “นายดูเตอร์เต” หันไปจูบปากกับจีนและรัสเซียชนิดลิ้นพันกัน แม้กระทั่งผู้นำเวียดนามยังต้องหันไปจับมือถือแขนออกแถลงการณ์ร่วมกับจีน จนความน่ากลัวอันเนื่องจาก “ปมความขัดแย้งในทะเลจีนใต้” ลดลงไปแบบฮวบๆ ฮาบๆ แต่ “ปมความขัดแย้งในทะเลจีนตะวันออก” กลับถูกชู ถูกกระตุ้นขึ้นมาใหม่ อันพอถือเป็นข้อพิสูจน์ยืนยันได้อีกครั้งว่า...เอาไป-เอามาแล้ว ระหว่าง “โอมาบ้า” กับ “ทรัมป์”ในแง่ “ความบ้า” หรือ “ความกลัว” แล้ว แทบไม่ได้แตกต่างไปจากกันซักเท่าไหร่ พอๆ กับ “เป๊ปซี่” กับ “โคล่า” นั่นแหละ คือท้ายที่สุดแล้ว...ต่างก็เป็น “น้ำดำ” ไปด้วยกันทั้งคู่...
กำลังโหลดความคิดเห็น