การเสวนาหัวข้อ “ตำรวจไทย มีไว้ทำอะไร” ที่จัดโดย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เมื่อ 26 มกราคมที่ผ่านมา ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เป็นเรื่องจนได้ เพราะพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.สั่งการให้ฟ้องดำเนินคดีกับวิทยากรหลายคนที่ร่วมเสวนาบนเวทีแล้ว
ผู้ที่ได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีชำแหละพฤติกรรมตำรวจในวันนั้นประกอบด้วยนายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรอง ผบก.ภ.จังหวัดชัยนาท
นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ สื่อมวลชนด้านยานยนต์ และ ร.ต.อ.ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล ประธานหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยบูรพา
ทุกคนนำข้อเท็จจริงมาตีแผ่ นำปัญหาสินบน ปัญหาส่วย ปัญหาปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจมาสะท้อนสู่สังคม และเรียกร้องให้ปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ความจริงเกี่ยวกับความเลวร้ายของตำรวจ เป็นสิ่งที่ประชาชนรับรู้กันอยู่แล้ว แต่เป็นความจริงที่ตำรวจยอมรับไม่ได้ และเตรียมตอบโต้คนที่เปิดโปงพฤติกรรม โดยอ้างว่าทำให้ประชาชนเข้าใจสำนักงานตำรวจแห่งชาติในทางเสื่อมเสีย ดูหมิ่นเกลียดชัง เข้าข่ายการหมิ่นประมาท
คนที่ตำรวจหมายหัวฟ้องในเบื้องต้น ประกอบด้วยนายสังศิต และพ.ต.อ.วิรุตม์ ส่วนพล.ต.อ.วสิษฐ ซึ่งชำแหละสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างถึงใจ ตำรวจกลับไม่เอาความ
การเคลื่อนไหวไล่ฟ้องกลุ่มวิทยากรที่เปิดโปงความฟอนเฟะของตำรวจ บนเวทีขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชันนั้น ประชาชนคงไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก แต่อยากให้ตำรวจ ยอมรับฟังเสียงสะท้อนจากสังคม นำปัญหาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปปรับปรุงแก้ไขมากกว่า เพื่อฟื้นศรัทธาประชาชน
คนดีที่นำข้อเท็จจริงในปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจมาตีแผ่ ควรได้รับการสรรเสริญเชิดชู และถือเป็นคนที่สร้างคุณประโยชน์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องตำรวจที่ประพฤติตัวนอกลู่นอกทาง สวมเครื่องแบบไปหากิน รีดไถ รับส่วย กินสินบน ทำให้องค์กรตำรวจเสื่อมเสีย
แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกลับมองคนที่ทำหน้าที่เป็นพลเมืองดีเหล่านี้เป็นศัตรู อ้างว่าเป็นกลุ่มคนที่พยายามให้ร้ายตำรวจ และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ไม่มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนไหนออกมาประกาศจะจัดการตำรวจที่รับส่วย รับสินบนจากบ่อน สถานบันเทิง อาบอบนวด วินรถรับจ้าง หรือรีดไถบนท้องถนนแต่อย่างใด
ทั้งที่ตำรวจมือไม่สะอาดเหล่านี้ เป็นต้นตอทำให้ภาพลักษณ์ตำรวจตกต่ำ และทำให้ตำรวจดีๆ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ต้องถูกประชาชนดูหมิ่นเกลียดชังไปด้วย
การฟ้องคนที่เปิดโปงข้อเท็จจริงในพฤติกรรมตำรวจบนเวทีเสวนา “ตำรวจไทย มีไว้ทำอะไร” เป็นความพยายามป้องปราม ไม่ให้ใครลุกขึ้นมาเปิดโปงพฤติกรรมตำรวจ
แต่จะป้องปรามได้หรือ ในเมื่อสังคมกำลังลุกฮือขึ้นขับเคลื่อน กดดันให้เกิดการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงประเด็นปฏิรูปตำรวจก็ตาม
นายสังศิตและพ.ต.อ.วิรุตม์ ซึ่งมีข่าวว่าจะถูกฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ทั้งคู่คงเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนชำแหละตำรวจแล้ว และพร้อมพิสูจน์ข้อเท็จจริงของพฤติกรรมตำรวจที่นำมาเปิดโปงตามกระบวนการยุติธรรม
กลุ่มวิทยากรที่ขึ้นเวทีเสวนาหัวข้อ “ตำรวจไทย มีไว้ทำอะไร” ประชาชนรู้ว่า ทุกคนนำความจริงมาพูดกันทั้งสิ้น ไม่มีใครปรักปรำตำรวจแต่อย่างใด และเป็นความจริงที่กำลังถูกนำเข้าไปพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมโดยตำรวจเอง ซึ่งเป็นเรื่องดี
เพราะถ้าพิสูจน์ได้ว่า ข้อมูลพฤติกรรมความเลวร้ายของตำรวจที่นำมาเปิดโปง เป็นข้อเท็จจริง ถ้ากระบวนการยุติธรรมตัดสินว่า คนที่นำพฤติกรรมความเลวร้ายของตำรวจมาตีแผ่ ไม่มีความผิดใดๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้อายซ้ำสอง
และการฟ้องเพื่อป้องปรามไม่ให้ใครวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจ จะกลายเป็นการเชิญชวนให้ประชาชนโดดเข้าร่วมวงชำแหละตำรวจอีกด้วย
ผู้ที่ได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีชำแหละพฤติกรรมตำรวจในวันนั้นประกอบด้วยนายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรอง ผบก.ภ.จังหวัดชัยนาท
นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ สื่อมวลชนด้านยานยนต์ และ ร.ต.อ.ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล ประธานหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยบูรพา
ทุกคนนำข้อเท็จจริงมาตีแผ่ นำปัญหาสินบน ปัญหาส่วย ปัญหาปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจมาสะท้อนสู่สังคม และเรียกร้องให้ปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ความจริงเกี่ยวกับความเลวร้ายของตำรวจ เป็นสิ่งที่ประชาชนรับรู้กันอยู่แล้ว แต่เป็นความจริงที่ตำรวจยอมรับไม่ได้ และเตรียมตอบโต้คนที่เปิดโปงพฤติกรรม โดยอ้างว่าทำให้ประชาชนเข้าใจสำนักงานตำรวจแห่งชาติในทางเสื่อมเสีย ดูหมิ่นเกลียดชัง เข้าข่ายการหมิ่นประมาท
คนที่ตำรวจหมายหัวฟ้องในเบื้องต้น ประกอบด้วยนายสังศิต และพ.ต.อ.วิรุตม์ ส่วนพล.ต.อ.วสิษฐ ซึ่งชำแหละสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างถึงใจ ตำรวจกลับไม่เอาความ
การเคลื่อนไหวไล่ฟ้องกลุ่มวิทยากรที่เปิดโปงความฟอนเฟะของตำรวจ บนเวทีขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชันนั้น ประชาชนคงไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก แต่อยากให้ตำรวจ ยอมรับฟังเสียงสะท้อนจากสังคม นำปัญหาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปปรับปรุงแก้ไขมากกว่า เพื่อฟื้นศรัทธาประชาชน
คนดีที่นำข้อเท็จจริงในปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจมาตีแผ่ ควรได้รับการสรรเสริญเชิดชู และถือเป็นคนที่สร้างคุณประโยชน์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องตำรวจที่ประพฤติตัวนอกลู่นอกทาง สวมเครื่องแบบไปหากิน รีดไถ รับส่วย กินสินบน ทำให้องค์กรตำรวจเสื่อมเสีย
แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกลับมองคนที่ทำหน้าที่เป็นพลเมืองดีเหล่านี้เป็นศัตรู อ้างว่าเป็นกลุ่มคนที่พยายามให้ร้ายตำรวจ และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ไม่มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนไหนออกมาประกาศจะจัดการตำรวจที่รับส่วย รับสินบนจากบ่อน สถานบันเทิง อาบอบนวด วินรถรับจ้าง หรือรีดไถบนท้องถนนแต่อย่างใด
ทั้งที่ตำรวจมือไม่สะอาดเหล่านี้ เป็นต้นตอทำให้ภาพลักษณ์ตำรวจตกต่ำ และทำให้ตำรวจดีๆ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ต้องถูกประชาชนดูหมิ่นเกลียดชังไปด้วย
การฟ้องคนที่เปิดโปงข้อเท็จจริงในพฤติกรรมตำรวจบนเวทีเสวนา “ตำรวจไทย มีไว้ทำอะไร” เป็นความพยายามป้องปราม ไม่ให้ใครลุกขึ้นมาเปิดโปงพฤติกรรมตำรวจ
แต่จะป้องปรามได้หรือ ในเมื่อสังคมกำลังลุกฮือขึ้นขับเคลื่อน กดดันให้เกิดการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงประเด็นปฏิรูปตำรวจก็ตาม
นายสังศิตและพ.ต.อ.วิรุตม์ ซึ่งมีข่าวว่าจะถูกฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ทั้งคู่คงเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนชำแหละตำรวจแล้ว และพร้อมพิสูจน์ข้อเท็จจริงของพฤติกรรมตำรวจที่นำมาเปิดโปงตามกระบวนการยุติธรรม
กลุ่มวิทยากรที่ขึ้นเวทีเสวนาหัวข้อ “ตำรวจไทย มีไว้ทำอะไร” ประชาชนรู้ว่า ทุกคนนำความจริงมาพูดกันทั้งสิ้น ไม่มีใครปรักปรำตำรวจแต่อย่างใด และเป็นความจริงที่กำลังถูกนำเข้าไปพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมโดยตำรวจเอง ซึ่งเป็นเรื่องดี
เพราะถ้าพิสูจน์ได้ว่า ข้อมูลพฤติกรรมความเลวร้ายของตำรวจที่นำมาเปิดโปง เป็นข้อเท็จจริง ถ้ากระบวนการยุติธรรมตัดสินว่า คนที่นำพฤติกรรมความเลวร้ายของตำรวจมาตีแผ่ ไม่มีความผิดใดๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้อายซ้ำสอง
และการฟ้องเพื่อป้องปรามไม่ให้ใครวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจ จะกลายเป็นการเชิญชวนให้ประชาชนโดดเข้าร่วมวงชำแหละตำรวจอีกด้วย