ผู้จัดการรายวัน 360-ชำแหละทีโออาร์รถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ขสมก.ส่อตกม้าตายตอนจบ เหตุเงื่อนไขส่งมอบ รับมอบ ตรวจรับ หละหลวม เปิดช่องเอกชนซิกแซก อดีตกรรมการร่างทีโออาร์แนะกรรมการตรวจรับขอเอกสาร "เบสท์ริน" พิสูจน์ว่ารถประกอบที่มาเลเซียจริง ชี้กระบวนการผลิตมีเอกสารทุกขั้นตอนอยู่แล้ว ด้าน ผอ.ขสมก. ยอมรับหาหลักฐานเองไม่ได้ ต้องรอกรมศุลกากรยืนยัน วัดใจกรรมการตรวจรับนัดถกชี้ชะตาวันนี้ หลังชะลอการบอกเลิกสัญญา
จากปัญหาการส่งมอบรถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (NGV) จำนวน 489 คัน ของบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ชนะประมูล ถูกกรมศุลกากรตรวจพบว่ามีการสำแดงเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) เท็จ ซึ่งแม้ล่าสุด เบสท์รินจะทยอยนำรถออกจากท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) มาทำการตรวจสอบสภาพ ติดระบบGPS และจดทะเบียนแล้ว 392 คัน โดยเบสท์รินยอมจ่ายภาษีนำเข้า 40% ซึ่งยังไม่มีการใช้หนังสือ Form D แต่ขอสงวนสิทธิ์ขอคืนภายหลัง ส่วนรถล็อตแรก 1 คัน เบสท์รินจ่ายภาษีนำเข้า40% และค่าปรับ 80% ขณะที่มีรถจำนวน 99 คัน ในล็อตที่ 2 ยังถูกอายัดไว้ที่ท่าเรือ ซึ่งปัญหา คือ เลยกำหนดการส่งมอบรถตามสัญญา เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2559 มาแล้ว ขณะที่ทางองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ชะลอการบอกยกเลิกสัญญา หลังจากที่เบสท์รินได้ทำหนังสือขอขยายเวลาส่งมอบตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวมาต่อเนื่องนั้น
ล่าสุด นายอรุณ ลีธนาโชต อดีตผู้สังเกตุการณ์ และอดีตกรรมการร่าง TORโครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV กล่าวว่า ปัญหาการนำเข้าที่มีการสำแดงเท็จ เบสท์รินจะต้องพิสูจน์กับกรมศุลกากร แต่กรณีแหล่งกำเนิดรถ เบสท์รินต้องพิสูจนกับ ขสมก. ไม่เช่นนั้นจะรับมอบรถไม่ได้ ประเด็นรถ 389 คัน เบสท์รินไม่ได้แสดงเอกสาร Form D กับกรมศุลกากร แล้วจะใช้หลักฐานอะไรแสดงว่าประกอบในมาเลเซียตามที่ระบุใน TOR และสัญญา และกรณีที่ยื่นแผนว่ารถผลิตในจีนประกอบในมาเลมาเลเซียนั้น ต้องมีเอกสารประกอบอย่างชัดเจนด้วย เช่นกรณีที่นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานบริษัท เบสท์รินฯ ระบุ รถใช้คลัสซีจากมาเลเซีย ไปประกอบที่จีน จะต้องมีเอกสารส่งคลัสซีจากมาเลเซียวันไหนส่งไปจีน ประกอบเสร็จออกจากจีน และมาเลเซียประกอบอะไรบ้าง แม้ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่นี่คือสิ่งที่กรรมการตรวจรับต้องให้เบสท์รินแสดงเอกสารยืนยัน เพื่อพิสูจน์ว่ารถประกอบที่มาเลเซียจริง
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ TOR โครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV 489 คัน เงื่อนไขข้อ 8 การตรวจรับ ระบุว่า รถโดยสารที่ส่งมอบต้องมีคุณลักษณะถูกต้องตามเงื่อนไขTOR และต้องเป็นแบบและรุ่นเดียวกับรถที่ผ่านการทดสอบตามข้อ7 ผ่านการตรวจสภาพ การชำระภาษีและดำเนินการด้านทะเบียนจากกรมขนส่งทางบกเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ชนะประมูลเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งจะต้องส่งมอบภายใน 90 วันนับถัดจากวันลงนามสัญญา
นายอรุณให้ความเห็นว่า เจตนาในข้อ 8 คือ "วิธีการตรวจรับมอบรถ หลังจากกรรมการตรวจรับได้ตรวจรับรถและลงนามในเอกสารตรวจรับแล้วว่าคุณลักษณะถูกต้องตาม TOR และสัญญาที่ลงนามไว้ และคู่สัญญาได้นำรถไปติดตั้ง GPS ตรวจสภาพจดทะเบียนเป็นรถของ ขสมก. เรียบร้อยแล้ว จึงจะรับมอบได้" ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าต้องนำไปจดทะเบียนชื่อขสมก. ก่อน
กรรมการตรวจรับถึงจะตรวจคุณลักษณะได้ อาจเป็นเอื้อประโยชน์ให้เบสท์ริน อ้างว่า ได้ส่งมอบรถให้ขสมก. แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับที่ทางเบสท์รินได้ออกมาระบุว่า รถจดทะเบียนชื่อ ขสมก. โดยผอ.ขสมก.มอบอำนาจให้บริษัทไปจดทะเบียน ถือว่าขสมก.รับมอบรถแล้วด้วย
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. กล่าวว่า ตอนนี้ติดประเด็นเดียว เรื่องถิ่นกำเนิดว่าเป็นมาเลเซียหรือจีน ส่วนตัวรถนั้น ตรงตามสเปค มีการติดGPS และตรวจสภาพแล้ว ส่วนการรับมอบได้หรือไม่ ทางอัยการให้รอกรมศุลกากร ซึ่งขสมก. ไม่สามารถไปหาหลักฐานเองได้ กรณีประกอบมาเลเซีย สัญญาไม่ได้ระบุว่า ประกอบอะไรสัดส่วนเท่าไร ดังนั้น เบสท์รินจะผลิตรถจากจีนมาเกือบทั้งคัน ส่งต่อมาที่มาเลเซีย เพื่อติดแค่ล้อ หรือติดแค่แอร์ ก็ได้แล้ว
ทั้งนี้ เมื่อเบสท์รินทำหนังสือถึง ขสมก. ขอขยายเวลาส่งมอบรถออกไปอีก 15 วัน นับจากวันที่จะครบกำหนดวันที่ 9 ก.พ. และอ้างถึงกรณีกรมศุลกากรไม่ตรวจปล่อยรถ ซึ่งบริษัทระบุว่า จะรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ยอมที่จะจ่ายเงินค่าปรับที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมชี้แจงว่า กรณีกรมศุลกากรไม่ตรวจปล่อยรถจำนวน 99 คันเป็นปัญหากฎหมาย ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฎหมาย และยืนยันว่าที่ผ่านมา บริษัทได้จดทะเบียนรถไปแล้วจำนวนหนึ่ง เป็นเหตุรับฟังได้
"เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ได้นำข้อเสนอขอเบสท์ริน และเหตุผลทั้ง 3 ข้อ หารือในอนุกรรมการกฎหมาย ขสมก. สรุปความเห็นว่า ให้ชะลอการบอกเลิกสัญญา และให้ทำหนังสือหารืออัยการสูงสุดและกรมบัญชีกลาง พร้อมให้คณะกรรมการตรวจรับพิจารณาหนังสือของเบสท์ริน ซึ่งจะประชุมในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ส่วนการบอกเลิกสัญญาต้องรอบคอบ และเป็นอำนาจของ ผอ.ขสมก.
เพราะถือเป็นการบริหารสัญญา"นายสุระชัยกล่าว
จากปัญหาการส่งมอบรถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (NGV) จำนวน 489 คัน ของบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ชนะประมูล ถูกกรมศุลกากรตรวจพบว่ามีการสำแดงเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) เท็จ ซึ่งแม้ล่าสุด เบสท์รินจะทยอยนำรถออกจากท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) มาทำการตรวจสอบสภาพ ติดระบบGPS และจดทะเบียนแล้ว 392 คัน โดยเบสท์รินยอมจ่ายภาษีนำเข้า 40% ซึ่งยังไม่มีการใช้หนังสือ Form D แต่ขอสงวนสิทธิ์ขอคืนภายหลัง ส่วนรถล็อตแรก 1 คัน เบสท์รินจ่ายภาษีนำเข้า40% และค่าปรับ 80% ขณะที่มีรถจำนวน 99 คัน ในล็อตที่ 2 ยังถูกอายัดไว้ที่ท่าเรือ ซึ่งปัญหา คือ เลยกำหนดการส่งมอบรถตามสัญญา เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2559 มาแล้ว ขณะที่ทางองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ชะลอการบอกยกเลิกสัญญา หลังจากที่เบสท์รินได้ทำหนังสือขอขยายเวลาส่งมอบตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวมาต่อเนื่องนั้น
ล่าสุด นายอรุณ ลีธนาโชต อดีตผู้สังเกตุการณ์ และอดีตกรรมการร่าง TORโครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV กล่าวว่า ปัญหาการนำเข้าที่มีการสำแดงเท็จ เบสท์รินจะต้องพิสูจน์กับกรมศุลกากร แต่กรณีแหล่งกำเนิดรถ เบสท์รินต้องพิสูจนกับ ขสมก. ไม่เช่นนั้นจะรับมอบรถไม่ได้ ประเด็นรถ 389 คัน เบสท์รินไม่ได้แสดงเอกสาร Form D กับกรมศุลกากร แล้วจะใช้หลักฐานอะไรแสดงว่าประกอบในมาเลเซียตามที่ระบุใน TOR และสัญญา และกรณีที่ยื่นแผนว่ารถผลิตในจีนประกอบในมาเลมาเลเซียนั้น ต้องมีเอกสารประกอบอย่างชัดเจนด้วย เช่นกรณีที่นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานบริษัท เบสท์รินฯ ระบุ รถใช้คลัสซีจากมาเลเซีย ไปประกอบที่จีน จะต้องมีเอกสารส่งคลัสซีจากมาเลเซียวันไหนส่งไปจีน ประกอบเสร็จออกจากจีน และมาเลเซียประกอบอะไรบ้าง แม้ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่นี่คือสิ่งที่กรรมการตรวจรับต้องให้เบสท์รินแสดงเอกสารยืนยัน เพื่อพิสูจน์ว่ารถประกอบที่มาเลเซียจริง
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ TOR โครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV 489 คัน เงื่อนไขข้อ 8 การตรวจรับ ระบุว่า รถโดยสารที่ส่งมอบต้องมีคุณลักษณะถูกต้องตามเงื่อนไขTOR และต้องเป็นแบบและรุ่นเดียวกับรถที่ผ่านการทดสอบตามข้อ7 ผ่านการตรวจสภาพ การชำระภาษีและดำเนินการด้านทะเบียนจากกรมขนส่งทางบกเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ชนะประมูลเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งจะต้องส่งมอบภายใน 90 วันนับถัดจากวันลงนามสัญญา
นายอรุณให้ความเห็นว่า เจตนาในข้อ 8 คือ "วิธีการตรวจรับมอบรถ หลังจากกรรมการตรวจรับได้ตรวจรับรถและลงนามในเอกสารตรวจรับแล้วว่าคุณลักษณะถูกต้องตาม TOR และสัญญาที่ลงนามไว้ และคู่สัญญาได้นำรถไปติดตั้ง GPS ตรวจสภาพจดทะเบียนเป็นรถของ ขสมก. เรียบร้อยแล้ว จึงจะรับมอบได้" ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าต้องนำไปจดทะเบียนชื่อขสมก. ก่อน
กรรมการตรวจรับถึงจะตรวจคุณลักษณะได้ อาจเป็นเอื้อประโยชน์ให้เบสท์ริน อ้างว่า ได้ส่งมอบรถให้ขสมก. แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับที่ทางเบสท์รินได้ออกมาระบุว่า รถจดทะเบียนชื่อ ขสมก. โดยผอ.ขสมก.มอบอำนาจให้บริษัทไปจดทะเบียน ถือว่าขสมก.รับมอบรถแล้วด้วย
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. กล่าวว่า ตอนนี้ติดประเด็นเดียว เรื่องถิ่นกำเนิดว่าเป็นมาเลเซียหรือจีน ส่วนตัวรถนั้น ตรงตามสเปค มีการติดGPS และตรวจสภาพแล้ว ส่วนการรับมอบได้หรือไม่ ทางอัยการให้รอกรมศุลกากร ซึ่งขสมก. ไม่สามารถไปหาหลักฐานเองได้ กรณีประกอบมาเลเซีย สัญญาไม่ได้ระบุว่า ประกอบอะไรสัดส่วนเท่าไร ดังนั้น เบสท์รินจะผลิตรถจากจีนมาเกือบทั้งคัน ส่งต่อมาที่มาเลเซีย เพื่อติดแค่ล้อ หรือติดแค่แอร์ ก็ได้แล้ว
ทั้งนี้ เมื่อเบสท์รินทำหนังสือถึง ขสมก. ขอขยายเวลาส่งมอบรถออกไปอีก 15 วัน นับจากวันที่จะครบกำหนดวันที่ 9 ก.พ. และอ้างถึงกรณีกรมศุลกากรไม่ตรวจปล่อยรถ ซึ่งบริษัทระบุว่า จะรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ยอมที่จะจ่ายเงินค่าปรับที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมชี้แจงว่า กรณีกรมศุลกากรไม่ตรวจปล่อยรถจำนวน 99 คันเป็นปัญหากฎหมาย ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฎหมาย และยืนยันว่าที่ผ่านมา บริษัทได้จดทะเบียนรถไปแล้วจำนวนหนึ่ง เป็นเหตุรับฟังได้
"เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ได้นำข้อเสนอขอเบสท์ริน และเหตุผลทั้ง 3 ข้อ หารือในอนุกรรมการกฎหมาย ขสมก. สรุปความเห็นว่า ให้ชะลอการบอกเลิกสัญญา และให้ทำหนังสือหารืออัยการสูงสุดและกรมบัญชีกลาง พร้อมให้คณะกรรมการตรวจรับพิจารณาหนังสือของเบสท์ริน ซึ่งจะประชุมในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ส่วนการบอกเลิกสัญญาต้องรอบคอบ และเป็นอำนาจของ ผอ.ขสมก.
เพราะถือเป็นการบริหารสัญญา"นายสุระชัยกล่าว