สำหรับบ้านเรา...ด้วยข่าวดี ข่าวอันเป็นมิ่งมงคล ว่าด้วยกรณีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ “พระอริยวงศาคตญาณ” อย่างน้อย...ก็พอช่วยๆ ให้ข่าวอัปมงคลทั้งหลาย ถูกเบียดๆ ลดๆ ถูกช่วงชิงพื้นที่ข่าวได้บ้างไม่มากก็น้อย ต่างไปจากโลกช่วงนี้...ที่เคยทำท่าว่าน่าจะเย็นๆ ลงไปได้มั่ง แต่ด้วย “ความขยันในเรื่องโง่ๆ” ของผู้นำโลกรายใหม่ อะไรที่ทำท่าจะเย็นๆ ชักเริ่มร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกซะแร้นน์น์น์...
ที่ร้อนสุดๆ เห็นจะหนีไม่พ้นไปจากแนวรบด้านตะวันออกกลาง ที่ย้ายจุดจากซีเรียมายังอิหร่าน หลังจากกองทัพอิหร่านได้ทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลไปเมื่อวันที่ 30 มกราฯ อันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโครงการข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับรัฐบาล “โอมาบ้า” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2015 เอาเลยแม้แต่น้อย แต่พอถึงวันที่ 3 กุมภาฯ ที่ผ่านมา รัฐบาลใหม่ของ “ชูวิทย์ ทรัมป์” ก็ตัดสินใจเปิดฉากแซงชั่นรอบใหม่ต่ออิหร่าน แถมตัวประธานาธิบดียังออกมาแสดงบัตรสมาชิก “สมาคมเสือก” เอาปูนป้ายหมายหัวว่า “อิหร่านคือประเทศผู้สนับสนุนการก่อการร้ายอันดับ 1 ของโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ซึ่งถ้าดูจากคนรอบตัวรอบข้างของ “ชูวิทย์ ทรัมป์” แล้ว...คงไม่ถึงกับน่าแปลกใจอะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกลาโหม “James Mattis” ผู้ได้ชื่อฉายาว่า “Mad Dog” ขณะดำรงยศพลเอกในกองทัพสหรัฐฯ ที่ถือเป็นผู้มีทัศนคติในแง่ลบ แสดงความเป็นปฏิปักษ์กับอิหร่านมาโดยตลอด 33 ปีเต็มๆ อดีตนายทหารยศพลโท อย่าง “Michael Flynn” ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้ยืนหยัดในความเชื่อว่าความพยายามคิดค้นโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน ถือเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงสหรัฐฯ และพันธมิตรในตะวันออกกลาง โดยไม่ได้พูดถึงอิสราเอลที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยหัวรบ หรือ “นายMike Pence” รองประธานาธิบดี ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้นิยมชมชอบขบวนการ “ไซออนิสต์” อย่างเป็นพิเศษตลอดไปจน “นายSteve Bannon” หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ทำเนียบขาว ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ประธานาธิบดีตัวจริง” แม้จะ “บ้าคนขาว” เพียงใดก็ตาม แต่ถือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายรณรงค์หาเสียงที่จะให้ย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากกรุงเทลอาวีฟไปตั้งที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อเอาอก-เอาใจพวกนักธุรกิจชาวยิวในสหรัฐฯ เอาไว้ก่อน...
การเปิดฉากปะทะกันในทางการเมือง การทูตระหว่างสองประเทศ...จึงทำให้แนวรบด้านตะวันออกกลางร้อนฉ่าขึ้นมาใหม่อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย โดยเฉพาะเมื่อนายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” เตรียมออกเดินสายยุให้ใครต่อใครร่วม “รุมกระทืบอิหร่าน” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ แม้ว่าพันธมิตรของอิหร่านอย่างรัสเซียและจีน จะออกมายืนหยัดคัดค้านท่าทีของรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ แต่คงไม่ได้ช่วยให้อะไรต่อมิอะไรเย็นลงมาเลยแม้แต่น้อย เผลอๆ...กลับออกไปทาง “ร้อนตับแตก” หนักยิ่งขึ้นไปอีก เพราะจีนเองไม่เพียงแต่ต้องเจอกับการทิ้งทุ่นทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ พยายามจุดชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ในทะเลจีนตะวันออกด้วยการหยิบยกกรณีพิพาทหมู่เกาะ “เซนกากุ” หรือ “เตียวหยู” ให้เกิดเรื่อง เกิดราวระหว่างจีนกับญี่ปุ่นโดยตรง แนวโน้มที่จะเกิดการเปิดฉาก “สงครามการค้า”ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รอบใหม่ ก็ทำท่าว่าอาจอยู่ไม่ใกล้-ไม่ไกล ทั้งนั้นทั้งนี้...ถ้าว่าจากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจของ “Goldman Sachs” ที่ปรากฏเป็นข่าวคราวในสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา...
ส่วนรัสเซียนั้น...แม้ว่า “ทรัมป์” ทำท่าว่ากระหายกระหือรืออยากจะจูบปาก “ปูติน” ซะเหลือเกิน แต่ถ้าไม่ได้ดูเฉพาะเพียง “คำพูด” การที่รัฐบาลชุดใหม่ของอเมริกายังคงเดินหน้าเติมกำลังทหารเข้าไปในบริเวณพรมแดนรัสเซีย อย่างไม่คิดจะหยุดยั้งเอาเลยแม้แต่น้อย ล่าสุด...ส่งรถถัง M1A2 ร่วมครึ่งร้อย รวมทั้งกองพันทหารราบอีก 15 กองพันเข้าไปในเอสโตเนีย โดยจำนวนทหารสหรัฐฯ ที่ถูกส่งเข้าไปในบัลแกเรีย โรมาเนีย โปแลนด์ เยอรมนี ลัตเวีย ลิทัวเนีย ฯลฯ ก็ไม่ได้ถูกถอดถอนออกไปแต่อย่างใด แนวรบด้านยุโรปตะวันออก จึงยังคงตึงเครียดร้อนวูบๆ วาบๆ ต่อไปอีกเช่นเดิม...
หรือโดยสรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าอเมริกาจะมีประธานาธิบดีรายใหม่ที่ออกอาการ “บ้า...ก็...บ้าวะ” จนทำให้อะไรต่อมิอะไรดูเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมิใช่น้อย แต่สุดท้ายแล้ว...ด้วย “ความเป็นอเมริกา” หรือ “ความเป็นจักรวรรดินิยม” ที่ถูกออกแบบเอาไว้แต่แรก จึงทำให้แนวโน้มของประเทศอเมริกานับจากนี้ หนีไม่พ้นต้องเป็นไปตามข้อวิเคราะห์ของนักทำนายทางเศรษฐกิจผู้โด่งดังระดับโลกอย่าง “นายGerald Celente” เจ้าของนิตยสาร “Trends Journal” ผู้เคยทำนายถึงวิกฤตตลาดหุ้นปี ค.ศ. 1987 รวมทั้งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1991 ชนิดแม่นยำราวตาเห็น ที่เคยสรุปคำพยากรณ์เอาไว้แบบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ลึกซึ้งไปถึงดาก ด้วยข้อความที่ว่า... “ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ย่อมทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ในแต่ละยุคสมัย เกิดความหุนหันพลันแล่นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และตราบใดที่ฟองสบู่เกิดแตกออกมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งทำให้การบริหารของรัฐบาลแต่ละชุด จะเป็นไปในลักษณะ...ความพยายามที่จะแก้ไขความผิดพลาดล้มเหลวอย่างมหันต์ ด้วยการกระทำความผิดพลาด ล้มเหลวอย่างอภิมหันต์ยิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่ง...เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่ภาวะความผิดพลาดล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หรือโดยเบ็ดเสร็จสมบูรณ์...รัฐบาลก็จะได้เวลานำพาชาติทั้งชาติ เข้าสู่สงครามในท้ายที่สุด...” เอวัง ก็มี ด้วยประการละฉะนี้...แล...