xs
xsm
sm
md
lg

มอง ‘ทรัมป์’ ก็อดมอง ‘ไทย’ ไม่ได้!

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

คนทั่วโลกที่สนใจเรื่องความสัมพันธ์การเมืองระหว่างประเทศ ช่วงนี้ต่างก็ใจจดใจจ่อกับทิศทางความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กันทั้งนั้น ดูว่าแต่ละวันจะมีเรื่องราวนโยบายอะไรมาเขย่าโลกบ้าง และส่วนใหญ่ทรัมป์มักไม่สร้างความผิดหวัง

ทรัมป์จึงเป็นผู้ทรงอิทธิพล แนวทิศทางนโยบายส่งผลกระทบต่อการเมือง เศรษฐกิจ ต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าใกล้หรือไกล เกี่ยวโยงกับสหรัฐฯ โดยตรงหรือไม่ก็ตาม

คนเลี้ยงกุ้ง ชาวนา ผู้ส่งออกสินค้า อาหารกระป๋องในไทยย่อมมีส่วนได้เสียทั้งนั้น ค่าเงินบาทซึ่งผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ

นอกจากเป็นตัวป่วนโลกแล้ว ทรัมป์ยังถูกมองว่าเป็นตัวสร้างความแตกแยกในสหรัฐฯ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอีกด้วย มีเรื่องต้องให้เดินขบวนต่อต้านกันทั้งวัน ในหลายเมือง

แบบว่าทะเลาะกับเขาไปทั่ว ปากไว ตัดสินใจไว ไม่แยแสหน้าอินทร์หน้าพรหม ว่างั้นเถอะ การเร่งสร้างกระแสแรง บ่มเพาะศัตรูทั่วสารทิศ ทำให้เกิดการพนันขันต่อในกลุ่มผู้ต้องการได้เสียในยามต่อรองกันว่า “ทรัมป์จะอยู่รอดนานได้ถึง 1 ปีหรือไม่”

อัตราต่อรองย่อมผันผวน ขึ้นลงตามพฤติกรรมและความโฉ่งฉ่างของทรัมป์ ที่คนไม่อยากพูดดังๆ ว่ามีโอกาสถูกไข้โป้งหรือไม่ จากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งอาจสูญเสียอำนาจ กลุ่มต่างๆ ซึ่งเสียผลประโยชน์ ตายโดยมือฆ่าจากประเทศมุสลิมภายในและนอกประเทศ

เรียกว่าประเด็นนี้เป็นภารกิจอย่างหนักของหน่วยอารักขาประธานาธิบดี มากกว่าอดีตประธานาธิบดีคนก่อนๆ นับว่าทรัมป์เป็นยิ่งกว่าตัวล่อเป้าสำหรับพวกอยากเด่นดัง

ด้านกฎหมาย อาจมีความเสี่ยงต่อการถูกถอดถอนจากการขุดคุ้ยความฉาวโฉ่แต่หนหลังในการทำธุรกิจ การไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขการเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ปากยังแกว่งหาเรื่องใส่ตัว ทะเลาะและแขวะผู้นำชาติอื่นๆ โดยที่ไม่เคยพบปะรู้จักกันมาก่อน

อย่างที่คนไทยว่า “คนแบบนี้ไปไหน เอาปากไปก็พอ ตีนไปหาเอาข้างหน้า!”

โดยตำแหน่งทรัมป์เป็นผู้นำชาติมหาอำนาจอิทธิพลสูงสุดในโลก ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา แต่ในความเป็นจริง ทั้งรัสเซียและจีนก็เป็นมหาอำนาจ ไม่กลัวสหรัฐฯ เช่นกัน แต่ไม่ซ่า หรืออยากมีบทบาทเป็นตำรวจโลก ยุ่มย่ามก่อสงครามไปทั่วเหมือนสหรัฐฯ ชอบทำ

ไม่ต้องพูดถึงรัสเซียและจีน ซึ่งมีศักยภาพการรบพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ถ้าเกิดสงครามนิวเคลียร์ กดปุ่มขีปนาวุธข้ามทวีป รับรองตายเป็นเบือเหมือนกัน ดูแค่เกาหลีเหนือ ชาติเล็กเหมือนพริกขี้หนูเผ็ด ยังสร้างปัญหาให้สหรัฐฯ และไม่สามารถจัดการให้ได้ดังใจ

มาถึงจุดนี้ นับว่าทรัมป์เป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่ “กร่าง ซ่า” มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ ยิ่งกว่าสไตล์คาวบอยแบบจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แบบทาบกันไม่ติด นั่นเป็นเพราะทรัมป์ไม่ได้มาจากวงการเมือง มาจากภาคธุรกิจ เป็นมหาเศรษฐีขี้โว มาดดี เมียสวย

การไม่ยึดติดธรรมเนียมปฏิบัติประเพณีของการเมืองวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวง มุ่งคิดนอกกรอบ ทำนอกลู่นอกทาง จึงทำให้ทุกฝ่ายคาดเดาทาง และอารมณ์ของทรัมป์ยาก

น่าทึ่งก็คือ แม้จะมีคนไม่ชอบขี้หน้า แต่บรรดา ส.ส. และ ส.ว.พรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ในระดับกรรมาธิการต่างสนับสนุนทรัมป์ ยิ่งในช่วงการตรวจสอบคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรี และหัวหน้าองค์กรสำคัญของรัฐ ฝ่ายรีพับลิกันรวมใจกันโหวตให้คะแนนผ่าน

ยังไม่มีใครสอบไม่ผ่าน แม้พวกเดโมแครตต่างค้าน หรือตั้งป้อมบอยคอตเต็มที่ก็ตาม เมื่อกุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาคองเกรสและวุฒิสภา พรรครีพับลิกันจึงได้เปรียบ ดังนั้น การลงคะแนนสอบคุณสมบัติจึงเป็นแบบ “พรรคใคร พรรคมัน” ไม่สนใจใครว่าอะไร

การเมืองน้ำเน่าแบบไทยๆ กำลังถูกเอาอย่างในสหรัฐฯ รวมทั้งการเดินสุดซอย ทะลุซอย มีครั้งหนึ่งประธานกรรมาธิการใช้เสียงข้างมากแหกกฎ เปลี่ยนแปลงกฎ เพื่อดันให้คนที่ถูกตรวจสอบคุณสมบัติผ่านฉลุย ทั้งๆ ที่มีกฎว่าต้องมี ส.ส.ฝ่ายค้านอย่างน้อย 1 คนอยู่

ท่านประธานใช้เสียงข้างมากแหกกฎเดิม เขียนกฎใหม่ ให้ยกเว้นข้อบังคับนี้!ผลประโยชน์ทางการเมืองจึงเป็นตัวกำหนด ภายใต้กติกาว่ากันเอง “วันนี้ข้าเกาหลังให้เอ็ง วันหน้าเอ็งต้องเกาหลังให้ข้าบ้างนะเว้ย” ทุกอย่างไม่มีใครทำอะไรให้ฟรีๆ

ต้องมีการตอบแทน ไม่ช้าก็เร็ว! ช่วงนี้ทรัมป์ต้องพึ่งพาขาใหญ่ในพรรค วันหน้าอาจต้องลงนามผ่านกฎหมายซึ่งพวก ส.ส. และ ส.ว.นำเสนอ ดังนั้น การแตกแยกระหว่างนักการเมืองค่ายรีพับลิกันและเดโมแครตจึงรุนแรง ไม่มีถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเหมือนเดิม

นั่นเป็นเพราะพวกเดโมแครตยังแค้นที่ทรัมป์สามารถแหกสารพัดโพล เอาชนะฮิลลารี คลินตัน ตัวเต็งหามของเดโมแครต ซึ่งคาดว่าจะได้กุมอำนาจในทำเนียบขาวอีกสมัย

ยิ่งองค์กรสื่อ คนทำสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่เป็นพวกเดโมแครต ฝังแค้นที่ทำโพลผิดพลาดแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า ยิ่งแค้นหนัก ทุกวันนี้สื่อหลักยังตั้งหน้าตั้งตาขุดคุ้ย เน้นประเด็นด้านลบโดยตลอด ทำให้ทรัมป์ต้องเปิดศึกกับสื่อกระแสหลัก หาเพื่อนแทบไม่ได้

ด้วยเหตุนี้แหละ จึงมีคนเฝ้ามองว่าทรัมป์จะพลาด สะดุดตีนตัวเอง หรือสภาวะปากไวจะนำพาตัวเองไปสู่จุดตายหรือไม่ แต่คนอย่างทรัมป์ไม่ยี่หระ ที่ผ่านมาก็เอาตัวรอดมาได้ ที่น่าสนใจคือการเมืองสหรัฐฯ ชักจะใกล้เคียงเมืองไทยยุควุ่นวายแบ่งสี แบ่งค่าย เดินขบวน

เดี๋ยวนี้มีเดินขบวนปิดถนน ตำรวจต้องยิงแก๊สน้ำตา จับกุมพวกประท้วงแทบทุกวัน มีการรุมยำกันในสนามบิน การเดินขบวนขโมยของในร้าน เผาตึกเป็นรูปแบบเดิมที่เคยทำ ที่น่าเฝ้ามองคือ ในความแตกแยกจะมีพวกสวมรอยลากปืนออกมายิงกันสนั่นเมืองหรือไม่

“อเมริกันชาธิปไตย” ยุคผู้นำมาจากภาคธุรกิจ จะเล่นบทล้ำเส้นลามไปจนเป็นวิกฤตรุนแรงหรือไม่ คงไม่ถึงขั้นนั้น ทรัมป์ย่อมห่วงความอยู่รอดธุรกิจของตัวเองด้วยเช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น