คงไม่ถึงกับต้องไปตกอกตกใจห่อๆ เหี่ยวๆ อะไรกันมากมาย...สำหรับการจัดอันดับ “ภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชัน” ครั้งล่าสุด โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International-TI) ที่ลากอันดับประเทศไทยให้ตกจากหอคอย่นร่วงผล็อยๆ หล่นลงไปอยู่ระดับแทบท้ายตาราง หรืออันดับที่ 101 จาก 176 ประเทศทั่วโลก...
เพราะเท่าที่ฟังๆ ดู...แม้การจัดอันดับที่ว่านี้ จะดูน่าเชื่อ น่าศรัทธาเพียงใดก็ตามที แต่การนำเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่ว่าเรื่องประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชนเข้าไปเกี่ยวข้องผสมโรงชนิดเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” แล้วยังงี้ เผด็จการล้วนๆ แม้จะเป็น “เผด็จการละมุนภัณฑ์” ก็เถอะ...จะไปเหลืออะไร!!! ด้วยเหตุนี้...คงต้องหันไปยึด “มาตรฐานไทยๆ” กันไปพลางๆ อย่างน้อย...อาจพอช่วยให้เกิด “กำลังใจ” ขึ้นมาได้มั่ง นั่นคือ...ภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชัน ที่ได้รับการสำรวจและเปิดเผยโดย “ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ-ธุรกิจ หอการค้าไทย” เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สรุปรวมความแบบสั้นๆ-ง่ายๆ ก็คงประมาณว่า “ดัชนีการจ่ายใต้โต๊ะ” จากเดิมทีที่เคยจ่ายๆ กันประมาณ 15-25 เปอร์เซ็นต์ต่อโครงการแต่ละโครงการ มาบัดนี้..ลดลงไปเหลือแค่ประมาณ 5-15 เปอร์เซ็นต์ไม่เกินนั้น หรือจะเรียกว่า “คอร์รัปชันแบบพอเพียง” ก็คงพอได้ ส่งผลให้แนวโน้มของสถานการณ์ทุจริตคอร์รัปชัน น่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นๆ หรือ “ดีที่สุดในรอบ 5 ปี” ตามคำนิยามของหอการค้าไทย...
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ...การลดลงของ “ดัชนีการจ่ายใต้โต๊ะ” ที่ว่านี้ ก็ยังไม่ถึงกับน่าภูมิอกภูมิใจอะไรกันมากมาย โดยเฉพาะถ้าหากหวนไปคิดถึง “คำสาปอันศักดิ์สิทธิ์” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 หรือพูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากคิดจะ “ทำดีเพื่อพ่อ” กันจริงๆ แล้ว มีแต่ต้องหาทางทำให้ “ดัชนีการจ่ายใต้โต๊ะ” ลดลงไปเหลือ 0 หรือแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ 2 เปอร์เซ็นต์...ยังถือเป็นอันใช้ได้ เนื่องจาก “คำสาป” ที่ว่านั้น ได้ระบุเอาไว้ชัดถึงขั้นว่า “ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียว...ก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป” ระดับ 5-15 เปอร์เซ็นต์ มันจึงไม่ได้เป็นอะไรที่ “ดีที่สุด” แม้จะดีกว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาก็ตาม...
แน่ล่ะว่า “คำสาป” ที่ว่านี้...คงไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้นชิงชังใดๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้าม...กลับมีที่มาจาก “ความรัก” และ “ความปรารถนาดี” นั่นแหละเป็นสำคัญ เพราะความไม่ทุจริต หรือความ “ซื่อสัตย์สุจริต” นั้น โดยคุณลักษณะเฉพาะตัว...ย่อมเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปมานานแล้วว่า “สุจริตคือเกราะบังศาสตร์พ้อง” นั่นเอง ซึ่งคงไม่เพียงแค่ “บัง” ผู้ซื่อสัตย์สุจริต ในแต่ละปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ยังสามารถบังสังคมทั้งสังคม ประเทศทั้งประเทศ ให้อยู่รอดปลอดภัยพ้นไปจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ “คำสาป” ที่ว่า...จึงแทบไม่ต่างไปจาก “คำอวยพร” ที่ล้นเกล้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงประทานไว้เป็นมรดกแก่ประเทศไทย สังคมไทย แม้พระองค์จะทรงลา-ละ-สละ จากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม...
ด้วยเหตุนี้...บรรดา “ผู้จงรักภักดี” ทั้งหลาย ผู้ที่มุ่งมั่น “เดินตามรอยเบื้องยุคลบาท” ผู้ตั้งมั่นตั้งใจจะ “ทำดีเพื่อพ่อ” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล หรือเพื่ออะไรต่อมิอะไรก็ตามที มีแต่จะต้องมุ่งมั่นทุ่มเทแสดงออกถึงความเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ อย่างมิอาจหยวนๆ เหลาะๆ แหละๆ ได้โดยเด็ดขาด แม้จำต้อง “ปรองดอง” หาทางสมานฉันท์
สามัคคีกับฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็ตาม แต่สำหรับผู้ที่ทุจริตและประพฤติมิชอบแล้ว ต้องพร้อมที่จะประกาศตัวยืนหยัดเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” พร้อมที่จะใส่กันแบบดอกต่อดอก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนพ้อง-น้อง-พี่ หรือแม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายใดๆ ก็แล้วแต่ เพราะนี่คือสิ่งที่จะช่วยให้ประเทศชาติและสังคมไทย มีโอกาส “เหลือรอด” แม้พระองค์จะไม่สามารถช่วยประคับประคองชาติบ้านมือง เหมือนอย่างเท่าที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว...
เพราะเท่าที่ฟังๆ ดู...แม้การจัดอันดับที่ว่านี้ จะดูน่าเชื่อ น่าศรัทธาเพียงใดก็ตามที แต่การนำเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่ว่าเรื่องประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชนเข้าไปเกี่ยวข้องผสมโรงชนิดเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” แล้วยังงี้ เผด็จการล้วนๆ แม้จะเป็น “เผด็จการละมุนภัณฑ์” ก็เถอะ...จะไปเหลืออะไร!!! ด้วยเหตุนี้...คงต้องหันไปยึด “มาตรฐานไทยๆ” กันไปพลางๆ อย่างน้อย...อาจพอช่วยให้เกิด “กำลังใจ” ขึ้นมาได้มั่ง นั่นคือ...ภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชัน ที่ได้รับการสำรวจและเปิดเผยโดย “ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ-ธุรกิจ หอการค้าไทย” เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สรุปรวมความแบบสั้นๆ-ง่ายๆ ก็คงประมาณว่า “ดัชนีการจ่ายใต้โต๊ะ” จากเดิมทีที่เคยจ่ายๆ กันประมาณ 15-25 เปอร์เซ็นต์ต่อโครงการแต่ละโครงการ มาบัดนี้..ลดลงไปเหลือแค่ประมาณ 5-15 เปอร์เซ็นต์ไม่เกินนั้น หรือจะเรียกว่า “คอร์รัปชันแบบพอเพียง” ก็คงพอได้ ส่งผลให้แนวโน้มของสถานการณ์ทุจริตคอร์รัปชัน น่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นๆ หรือ “ดีที่สุดในรอบ 5 ปี” ตามคำนิยามของหอการค้าไทย...
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ...การลดลงของ “ดัชนีการจ่ายใต้โต๊ะ” ที่ว่านี้ ก็ยังไม่ถึงกับน่าภูมิอกภูมิใจอะไรกันมากมาย โดยเฉพาะถ้าหากหวนไปคิดถึง “คำสาปอันศักดิ์สิทธิ์” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 หรือพูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากคิดจะ “ทำดีเพื่อพ่อ” กันจริงๆ แล้ว มีแต่ต้องหาทางทำให้ “ดัชนีการจ่ายใต้โต๊ะ” ลดลงไปเหลือ 0 หรือแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ 2 เปอร์เซ็นต์...ยังถือเป็นอันใช้ได้ เนื่องจาก “คำสาป” ที่ว่านั้น ได้ระบุเอาไว้ชัดถึงขั้นว่า “ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียว...ก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป” ระดับ 5-15 เปอร์เซ็นต์ มันจึงไม่ได้เป็นอะไรที่ “ดีที่สุด” แม้จะดีกว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาก็ตาม...
แน่ล่ะว่า “คำสาป” ที่ว่านี้...คงไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้นชิงชังใดๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้าม...กลับมีที่มาจาก “ความรัก” และ “ความปรารถนาดี” นั่นแหละเป็นสำคัญ เพราะความไม่ทุจริต หรือความ “ซื่อสัตย์สุจริต” นั้น โดยคุณลักษณะเฉพาะตัว...ย่อมเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปมานานแล้วว่า “สุจริตคือเกราะบังศาสตร์พ้อง” นั่นเอง ซึ่งคงไม่เพียงแค่ “บัง” ผู้ซื่อสัตย์สุจริต ในแต่ละปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ยังสามารถบังสังคมทั้งสังคม ประเทศทั้งประเทศ ให้อยู่รอดปลอดภัยพ้นไปจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ “คำสาป” ที่ว่า...จึงแทบไม่ต่างไปจาก “คำอวยพร” ที่ล้นเกล้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงประทานไว้เป็นมรดกแก่ประเทศไทย สังคมไทย แม้พระองค์จะทรงลา-ละ-สละ จากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม...
ด้วยเหตุนี้...บรรดา “ผู้จงรักภักดี” ทั้งหลาย ผู้ที่มุ่งมั่น “เดินตามรอยเบื้องยุคลบาท” ผู้ตั้งมั่นตั้งใจจะ “ทำดีเพื่อพ่อ” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล หรือเพื่ออะไรต่อมิอะไรก็ตามที มีแต่จะต้องมุ่งมั่นทุ่มเทแสดงออกถึงความเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ อย่างมิอาจหยวนๆ เหลาะๆ แหละๆ ได้โดยเด็ดขาด แม้จำต้อง “ปรองดอง” หาทางสมานฉันท์
สามัคคีกับฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็ตาม แต่สำหรับผู้ที่ทุจริตและประพฤติมิชอบแล้ว ต้องพร้อมที่จะประกาศตัวยืนหยัดเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” พร้อมที่จะใส่กันแบบดอกต่อดอก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนพ้อง-น้อง-พี่ หรือแม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายใดๆ ก็แล้วแต่ เพราะนี่คือสิ่งที่จะช่วยให้ประเทศชาติและสังคมไทย มีโอกาส “เหลือรอด” แม้พระองค์จะไม่สามารถช่วยประคับประคองชาติบ้านมือง เหมือนอย่างเท่าที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว...