วันนี้...สงสัยคงต้องไหลไปตามกระแส เพราะกระแส “โรลส์-รอยซ์” ชั่งเป็นอะไรที่มาแรงแซงโค้งซะเหลือเกิน แถมยังมาได้ถูกร่อง ถูกจังหวะอีกต่างหาก คือมาในจังหวะที่รัฐบาลท่านเพิ่งเริ่มนึกถึง “การปรองดอง” หลังจากต้องไปมั่วกับเรื่องอื่นๆ มาเกือบ 2 ปี 3 ปี จนอาจไม่เหลือเวลามาคิดถึงเรื่องทำนองนี้ แต่ไม่ว่าท่านจะคิดเร็ว คิดช้า หรือไม่ อย่างไรก็ตาม...โดยแนวโน้มการปรองดอง ถ้าหากต้องเป็นไปในแบบ “เอาขี้ผสมข้าว” แล้วให้ “เอ็มโอยู” ว่าพร้อมจะรับประทานไปด้วยกันทุกฝ่าย อันนี้...รับรองว่า ยังไงๆ...ย่อมเป็ง-ปาง-ม่าย-ล่าย อยู่แล้วแน่ๆ...
เพราะเจอเข้ากับสินบน “โรลส์-รอยซ์” เพียงดอกเดียวเท่านั้น...บรรดา “ขี้”ทั้งหลาย ออกอาการ “ขี้กระจาย” หรือ “คลี่ขจาย” ก็แล้วแต่จะนิยามไปตามรสนิยมของใครของมันกันไปเป็นแถบๆ คือออกอาการ “พล่านน์น์น์” ชนิดแทบลากไปนั่งโต๊ะเจรจาร่วมกับใครต่อใครมิได้เลย เพราะมีแต่จะเหม็นกันไปทั้งบาง ยากซ์ซ์ซ์เสนอหน้าเสนอตา ไปเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กับผู้คนในแวดวงสังคมได้อีก ถึงไม่อาจลากคอมาเอาผิดด้านกฎหมาย แต่โดยกฎเกณฑ์สังคมแล้ว เรียกว่า...ต่าง “หัวขาด” ไปเป็นรายๆ โอกาสจะมีที่นั่ง ที่ยืนแบบปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมามั่ง ออกจะเป็นอะไรที่ริบหรี่เต็มที...
ถึงพยายามเถลือกไถลชนิด “สีข้าง” หลุดร่อนไปเป็นแถบๆ หันไปโยนบาปให้ข้าราชการประจำ รัฐวิสาหกิจกันแทนที่ แต่ยังไงๆ...คง “ขว้างงูไม่พ้นคอ” โดยเด็ดขาด!!! เพราะหลักฐานเอกสารข้อมูลที่ข้ามฟ้า-ข้ามโลกกันได้สบายๆ มันรัดคอ รัดจมูกชนิดดิ้นไม่หลุดเอาง่ายๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาแห่งการสวาปามในปี พ.ศ. 2547 ด้วยแล้วจะด้วยความตะกละตะกลาม ความหิวโหยเม็ดเงินที่จะเอามาใช้หว่านในการเลือกตั้ง หรือไม่อย่างไรก็แล้วแต่ ต้องเรียกว่า...มันมัดปาก มัดจมูก มัดมือ มัดเท้า จนไม่ว่าผู้ที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย “ก.เดียว” หรือกี่ก.ก็แล้วแต่ ช่วยไม่ได้แถกไม่ออก ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
กรณี “โรลส์-รอยซ์” ที่ดันมาอุบัติขึ้นในจังหวะที่ใครต่อใครกำลังคิดจะเริ่มต้นปรองดองกันในช่วงนี้...เลยทำให้อดหวนคิดไปถึง “คำสาปแช่ง” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ขึ้นมามิได้ โดยเฉพาะที่ทรงระบุเอาไว้ว่า “ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียว...ก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่า...ขอให้มีอันเป็นไป” ซึ่งอาจถือเป็น “คำสาปแช่งอันศักดิ์สิทธิ์” ที่ยังคงทรงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล แม้พระองค์จะทรงลา-ละ-สละ จากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม ดังนั้น...ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ที่ไม่เคยคิดจะเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจอเข้ากับจังหวะเวลานาทีที่มาทาบทับกันแบบพอดิบพอดี คงหนีไม่พ้นต้องคิดหน้าคิดหลังเอาไว้มั่ง อย่าเผลอหลุด เผลอหลวมใดๆ โดยเด็ดขาด เพราะเหนือฟ้า...ยังมีฟ้า เหนือกฎหมาย...ยังมีกฎแห่งกรรม รองรับเอาไว้อีกต่างหาก...
หนทางที่ปลอดโปร่งโล่งใจ ปลอดซึ่งภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง...สำหรับผู้ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ จึงหนีไม่พ้นต้องหันมาก้าวเดินไปตาม “ครรลองคลองธรรม” นั่นแหละ ถูกต้องและเข้าท่าที่สุด อาศัย “ธรรมนำหน้า” ยึดมั่นในธรรม ดำรงรักษาธรรมะ เพื่อนำมาซึ่ง “ประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงล่วงลับไปแล้ว เพราะด้วยการ “เดินตามรอยเบื้องยุคลบาท” โดยไม่จำเป็นต้องไปคิดว่าพระองค์จะยังทรงพระชนมชีพอยู่ หรือจะลาจากไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยเหตุเพราะ “ธรรมะ”
นั่นเอง ที่จะเป็นตัวช่วยปกป้องคุ้มครอง “ผู้ประพฤติธรรม” ไปได้โดยตลอด ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร หรือจะอยู่ในสถานะใดๆ ก็แล้วแต่ หรือเป็นไปตามพุทธภาษิต อันว่าด้วย... “ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจารึ ธัมโม สุจิณโณ สุขมาวหติ” นั่นแล...