ผู้จัดการรายวัน 360 - อธิบดีกรมศุลฯ ระบุ กำลังอยู่ระหว่างคำนวณภาษีที่เชฟรอนต้องจ่ายคืนให้รัฐจากการขนนำมันในประเทศไปใช้บนแท่นขุดเจาะน้ำกลางอ่าวไทย เหตุ ที่ผ่านมาขอคืนภาษี 2 ช่วงเวลา ด้านคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเชฟรอนจากกระทรวงการคลัง คาดจะได้ข้อสรุปภายในเดือนนี้
นายกุลิส สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวถึง ความคืบหน้าในการประเมินภาษีน้ำมันค้างจ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากรจาก บริษัท เชฟรอน (ประเทศไทย) จำกัด หลังคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความธุรกรรมการนำน้ำมันไปใช้ ณ แท่นขุดเจาะนั้นถือเป็นการค้าตามแนวชายฝั่งไม่ใช่เป็นการส่งออกว่า อยู่ระหว่างเตรียมการคำนวณภาษีโดยรวมที่เชฟรอนต้องจ่ายคืนภาษีให้แก่กรมศุลกากร
ส่วนมูลค่าภาระภาษีที่บริษัทเชฟรอนจะต้องคืนทั้งหมดจะเป็นเท่าไหร่นั้น ยังอยู่ระหว่างการคำนวณ เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทเชฟรอนได้ขอใช้สิทธิยกเว้นการเสียภาษีจะมีอยู่ 2 ช่วงคือช่วงเดือนมีนาคม 2554 ถึงเดือนมีนาคม 2557 และช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ถึงเดือนตุลาคม 2559
ทั้งนี้ ผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาในครั้งนี้ ถือเป็นการวางระบบที่ศุลกากรทุกด่านจะต้องยึดถือและปฏิบัติตามนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560
ด้านแหล่งข่าวกระทรวงการคลัง กล่าวถึงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการตรวจสอบฯ ในเรื่องดังกล่าวซึ่งมีนายลวรณ แสงสนิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นประธานว่าคณะกรรมการจะตรวจสอบกระบวนทั้งหมดว่าเป็นการทำหน้าที่โดยสุจริตหรือไม่สุจริต และการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐหรือไม่ โดยคาดว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะแล้วเสร็จได้ภายในเดือนนี้และจากนั้นคณะกรรมการฯ จะส่งผลสรุปข้อเท็จจริงทั้งหมดให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาเป็นลำดับต่อไป
สำหรับข้อพิพาษโดยภาพรวมในประเด็นเรื่องการส่งน้ำมันจากในประเทศไปยังแท่นขุดเจาะกลางทะเลนอกเขต 12 ไมล์ทะเลถือเป็นการส่งออกที่ได้รับการยกเว้นภาษีหรือไม่นั้น ก่อนที่จะเกิดกรณีของบริษัทเชฟรอน กรมศุลกากรได้ยึดหลักว่าในกรณีดังกล่าวถือเป็นการค้าชายฝั่งซึ่งไม่มีข้อยกเว้นเรื่องเสียภาษีในประเทศคือภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมัน รวมถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากรที่กรมศุลกากรจะทำหน้าที่ในการจัดเก็บเพื่อนำส่งกรมสรรพากร ทั้งนี้ เป็นการยึดตามหลัก พ.ร.บ. ปิโตรเลียม
ก่อนหน้านี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ให้ความเห็นให้กรมศุลกากรต้องเรียกภาษีคืนมูลค่า 3,000 ล้านบาท จากบริษัท เชฟรอน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทพลังงานสัญชาติสหรัฐอเมริกา
นายกุลิส สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวถึง ความคืบหน้าในการประเมินภาษีน้ำมันค้างจ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากรจาก บริษัท เชฟรอน (ประเทศไทย) จำกัด หลังคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความธุรกรรมการนำน้ำมันไปใช้ ณ แท่นขุดเจาะนั้นถือเป็นการค้าตามแนวชายฝั่งไม่ใช่เป็นการส่งออกว่า อยู่ระหว่างเตรียมการคำนวณภาษีโดยรวมที่เชฟรอนต้องจ่ายคืนภาษีให้แก่กรมศุลกากร
ส่วนมูลค่าภาระภาษีที่บริษัทเชฟรอนจะต้องคืนทั้งหมดจะเป็นเท่าไหร่นั้น ยังอยู่ระหว่างการคำนวณ เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทเชฟรอนได้ขอใช้สิทธิยกเว้นการเสียภาษีจะมีอยู่ 2 ช่วงคือช่วงเดือนมีนาคม 2554 ถึงเดือนมีนาคม 2557 และช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ถึงเดือนตุลาคม 2559
ทั้งนี้ ผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาในครั้งนี้ ถือเป็นการวางระบบที่ศุลกากรทุกด่านจะต้องยึดถือและปฏิบัติตามนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560
ด้านแหล่งข่าวกระทรวงการคลัง กล่าวถึงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการตรวจสอบฯ ในเรื่องดังกล่าวซึ่งมีนายลวรณ แสงสนิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นประธานว่าคณะกรรมการจะตรวจสอบกระบวนทั้งหมดว่าเป็นการทำหน้าที่โดยสุจริตหรือไม่สุจริต และการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐหรือไม่ โดยคาดว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะแล้วเสร็จได้ภายในเดือนนี้และจากนั้นคณะกรรมการฯ จะส่งผลสรุปข้อเท็จจริงทั้งหมดให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาเป็นลำดับต่อไป
สำหรับข้อพิพาษโดยภาพรวมในประเด็นเรื่องการส่งน้ำมันจากในประเทศไปยังแท่นขุดเจาะกลางทะเลนอกเขต 12 ไมล์ทะเลถือเป็นการส่งออกที่ได้รับการยกเว้นภาษีหรือไม่นั้น ก่อนที่จะเกิดกรณีของบริษัทเชฟรอน กรมศุลกากรได้ยึดหลักว่าในกรณีดังกล่าวถือเป็นการค้าชายฝั่งซึ่งไม่มีข้อยกเว้นเรื่องเสียภาษีในประเทศคือภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมัน รวมถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากรที่กรมศุลกากรจะทำหน้าที่ในการจัดเก็บเพื่อนำส่งกรมสรรพากร ทั้งนี้ เป็นการยึดตามหลัก พ.ร.บ. ปิโตรเลียม
ก่อนหน้านี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ให้ความเห็นให้กรมศุลกากรต้องเรียกภาษีคืนมูลค่า 3,000 ล้านบาท จากบริษัท เชฟรอน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทพลังงานสัญชาติสหรัฐอเมริกา