ช่วงที่หัวขบวนโลกสังคมนิยมอย่าง “สหภาพโซเวียต” ต้องแตกสลายไปเป็นสิบๆ ประเทศ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว บรรดาชาวคอมมิวนิสต์จำนวนไม่น้อย แม้แต่ในรัสเซียเอง เคยตั้งข้อสงสัยกันอย่างเป็นงานเป็นการ ว่าผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตในช่วงระยะนั้น คือ “นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ” ผู้พยายามพลิกเปลี่ยนโซเวียตรัสเซียแบบชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน หรือหลังตีนเป็นหน้ามือ ด้วยแนวนโยบายที่เรียกๆกันว่า “เปเรสทรอยก้า” (Perestroika) และ “กลาสนอสต์” (Glasnost) นั้น จะมีโอกาสเป็นผู้ที่ “ซีไอเอ” โคลนนิ่งขึ้นมาใหม่ หรือถูกหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ล้างสมอง แบล็คเมล์ ฯลฯ หรือไม่ประการใด เพราะท้ายที่สุด...การผงาดขึ้นมาของผู้นำรายนี้ ได้นำไปสู่ความล่มสลายของโลกสังคมนิยมอย่างสหภาพโซเวียตชนิดไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี จนตราบเท่าทุกวันนี้...
แม้ว่าการ “มโน” หรือการ “จิ้น” ในทำนองนี้...จะไม่ได้มีสาระแก่นสารใดๆ มารองรับไว้เลยแม้แต่น้อย แต่ ณ ขณะนี้ ดูเหมือนว่าการมโนหรือการจิ้นในลักษณะดังกล่าว ก็กำลังอุบัติขึ้นมาในประเทศหัวขบวนทุนนิยมโลกอย่างอเมริกาชนิดไม่ต่างอะไรไปจาก “กรรมสนองกรรม” หรือ “กรรมติดจรวด” อะไรทำนองนั้น เพราะบรรดาอเมริกันชนจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าระดับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สื่อฯ ไปจนถึงปุถุชนคนธรรมดาที่เชื่อว่า ประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่อย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” นั้น อาจเป็นผู้ที่รัสเซียสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ด้วยการแฮกข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม ด้วยการออกข่าวจริง ข่าวปลอม หรือแม้แต่ได้ตกเป็น “เครื่องมือของรัสเซีย” ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยการอาศัยข้อมูลหลักฐานครั้งที่เคยไปใช้บริการโสเภณีรัสเซียตั้งแต่ยังเป็นนักธุรกิจมาใช้แบล็คเมล์ประธานาธิบดีผู้นี้ จนเกิดการโอนเอียงไปหารัสเซีย คิดญาติดีกับรัสเซีย จนกระทั่งคิดจะเลิกบอยคอต แซงชั่นรัสเซียอย่างเป็นกิจการ...
จริง-ไม่จริง...คงไม่ต้องเสียเวลาไปคิดตามการมโนหรือการจิ้นให้ต้องปวดหัวโดยใช่เหตุ แต่เอาเป็นว่า ท่ามกลางภาวะ “กรรมติดจรวด” เช่นนี้ มีสิทธิที่จะทำให้อนาคตของ “สหรัฐอเมริกา” เป็นไปแบบเดียวกับอดีต “สหภาพโซเวียต” หรือไม่ อย่างไร อันนี้...ต้องเรียกว่า น่าคิด น่าสนใจเอามากๆ เพราะความขัดแย้งทางการเมืองในอเมริกาทุกวันนี้ ชักออกอาการไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี หนักยิ่งขึ้นทุกที การพูดถึงการถอดถอนประธานาธิบดีตั้งแต่ยังไม่ทันได้สาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง พูดถึงการรัฐประหารเงียบ ไปจนถึงการลอบสังหาร ฯลฯ โน่นเลย ทำให้บรรยากาศการเมืองในอเมริกาทุกวันนี้ ถูกเปรียบเทียบ อุปมาอุปไมยไว้โดยอดีตผู้นำเยอรมนี ประมาณว่า ถึงขั้นทำให้อดนึกถึงยุค “สงครามกลางเมือง” ในอเมริกาขึ้นมาไม่ได้...
ว่าไปแล้ว...ผู้ที่หยิบเอาเรื่อง “สงครามกลางเมือง” ในอเมริกากลับมาพูดถึงอีกครั้ง คงไม่ได้มีแต่เฉพาะอดีตผู้นำเยอรมนีรายเดียวเท่านั้น ก่อนหน้านั้น “แรบไบ” ชาวยิวไม่น้อยกว่า 2 คน ได้เคยออกเดินสายเตือนชาวยิวในอเมริกาให้เร่งเตรียมรับมือกับภาวะดังกล่าวเอาไว้ล่วงหน้า รายแรกคือ “Riminov Rabbe” ผู้นำจิตวิญญาณสูงสุดของนิกาย “Hasidism” ที่ว่ากันว่ามี “ญาณ” พิเศษถึงขั้นสามารถตามหาเด็กออทิสติกที่หลงป่ากลับคืนมาสู่ครอบครัวได้อย่างปลอดภัย ในระหว่างการเดินสายเตือนชาวอเมริกันเชื้อสายยิวในรัฐฟลอริดา เมื่อปี ค.ศ. 2015 “Riminov Rabbe” ถึงกับสาธยายญาณทัศนะของตัวเองไว้อย่างน่าขนลุกขนพองเอามากๆ คือบอกว่า “อเมริกาจะกลายเป็นดินแดนที่อันตรายด้วยสงคราม...แม้ยังเร็วไปที่จะสรุปว่า จะมีรัฐไหนบ้างที่ยังพอเหลือรอดแต่ส่วนใหญ่แล้ว จะถูกทำลาย ถูกแพร่พิษ แม้แต่สงครามกลางเมืองก็จะอุบัติขึ้นมาในดินแดนแห่งนี้ ตัดขาดรัฐต่างๆ ออกจากรัฐบาลกลาง อเมริกาจะไม่ใช่แดนสวรรค์อันปลอดภัยต่อไปอีกแล้ว มีแต่อิสราเอลเท่านั้นที่เหมาะสำหรับชาวยิว แม้จะมีความยากลำบากและความน่าหวาดหวั่นอยู่บ้างก็ตาม...”
ส่วนอีกราย...คือ “Rabbi Ari Abramowitz” รายนี้นอกจากเดินสายชักชวนชาวยิวในอเมริกาให้อพยพหนีไปยังอิสราเอลอย่างเป็นงานเป็นการ ยังออกคลิปวิดีโอ จัดรายการโทรทัศน์ เพื่อเผยแพร่ญาณทัศนะทำนองนี้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ตลอดช่วงปี 2016 โดยหยิบยกเอาฉากสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับบรรดาชาวยิวอพยพเมื่อหลายพันปีที่แล้ว ในอาณาจักรเปอร์เซีย อันทำให้เกิดประเพณีของชาวยิวที่เรียกว่า “เทศกาลปูริม” (Purim) มาเป็นตัวอ้างอิง ว่าฉากเหตุการณ์เช่นนี้กำลังเกิดขึ้นในอเมริกาอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ที่ชาวอเมริกันเชื้อสายยิวทั้งหลายจะต้องเผชิญหน้ากับพวก “Anti Semitic” ในระดับที่ถึงกับต้องระบุเอาไว้ว่า
“ถึงบรรดาเพื่อนชาวยิวทั้งหลายในอเมริกา คุณกำลังตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าชาวยิว ณ ที่แห่งใดในโลก ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือว่า เพราะคุณไม่รู้ว่าอันตรายที่แท้จริงมันรุนแรงขนาดไหน”
เอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะเป็นการมโน หรือการจิ้นไปในลักษณะไหนก็ตาม แต่ท่ามกลางบรรยากาศพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกาในวันนี้ อาจถือเป็นสีสันบรรยากาศ พอให้นึกภาพออกว่าประชาธิปไตยแม่แบบอย่างอเมริกานั้น ไปไกลถึงจุดไหนต่อจุดไหนกันบ้างแล้ว...