xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมาธิปไตย

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

วันนี้...คงต้องขออนุญาตขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ด้วยการนำเอาคำพูดเก่าๆ ของ “ท่านพุทธทาสภิกขุ” คือคำว่า “ศีลธรรมไม่กลับมา...โลกาจะวินาศ” มาฉายซ้ำกันอีกเที่ยว เพราะนอกจากไม่ใช่เรื่องโบราณคร่ำครึ เชยซ์ซ์ซ์ ล้าสมัย อย่างที่ “คนรุ่นใหม่ไม่สูบบุหรี่” คิดๆ กันไปเองเท่านั้น แต่ยังถือเป็นความก้าวหน้า ทันสมัย ที่สามารถนำมาใช้เป็นคำตอบ คำอธิบายกันแทบทุกเรื่อง แม้แต่เรื่อง “ปักษ์ใต้บ้านเรา” ที่ต้องตกน้ำป๋อมแป๋มอยู่ในทุกวันนี้...

●●●

คือถ้าหาก “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ที่ถูกขับเคลื่อนโดย “ทุนนิยม” มันไม่อุบัติขึ้นมาเมื่อ 200-300 ปีที่แล้ว สภาวะอากาศของโลก คงไม่ถึงกับเปลี่ยนแปลงระดับ “จากหน้ามือเป็นหลังตีน” ดังเช่นทุกวันนี้ แต่เพราะเหตุแห่งการ “อุต-ส่าห์-หา-กรรม” ของโลกทั้งโลก ด้วยการ “ทำลายธรรมชาติกันวันละล้านๆ ตัน” ตามสำนวนที่ “ท่านพุทธทาสฯ” ท่านว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ตามตัวเลข สถิติที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ไม่ว่าด้วยการเจาะธารน้ำแข็งลึกลงไปเป็นกิโลๆ หรือปล่อยยานอวกาศขึ้นไปสำรวจบนท้องฟ้า ต่างให้ข้อสรุปไปในแนวเดียวกันว่า อัตราส่วนปริมาณก๊าซคาร์บอนในชั้นบรรยากาศ มันเริ่มเพิ่มขึ้นอย่าง “ผิดปกติ” นับตั้งแต่เมื่อ 200-300 ปีที่แล้ว จนถึงระดับสูงสุดในรอบ 650,000 ปีที่ผ่านมา อันนำมาสู่ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแบบหนักหน่วง รุนแรง (Severe Climate Change) ต่อโลกทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นโลกเหนือ โลกใต้ โลกรวย โลกจน หรือพื้นที่ไหนๆ ในโลกนี้ก็แล้วแต่...

●●●

ความพยายามนำเสนอให้หาทางทำให้โลกกลับคืนไปสู่ “ธรรมชาติแห่งความถูกต้อง” จึงถือเป็น “กระบวนการ” ที่ดำเนินต่อเนื่องมาในทุกรูปแบบ ไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตลอดช่วงไม่รู้กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ไม่ว่าจะพยายามกันแบบไหน อย่างไร โลกมันก็มาไกล ไหลมาอยู่ริมขอบเหว หรือมาถึงจุดที่พวกนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาวะอากาศเรียกว่า “จุดที่มิอาจหวนกลับคืนไปได้อีกแล้ว” (Point of No Return) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ จึงถูกถือเป็น “ภัยคุกคามแห่งศตวรรษที่ 21” ที่หนักหนาสาหัส ซะยิ่งกว่าภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ จากการก่อการร้าย ที่ไม่ใช่แค่นักวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่เริ่มตระหนัก กระทั่งนักยุทธศาสตร์การเมือง การทหาร ยังต้องหันมาสุมหัว รวมตัว จัดประชุมเมื่อปลายปีที่แล้ว ในเวที “London Conference on Security and the Climate” ที่ประเทศอังกฤษ โดยหนึ่งในผู้เข้าร่วมอย่างนายพลเรือ “Neil Moristti” ถึงกับ “ฟันธง” ลงไปแบบเต็มผืน เต็มด้ามว่า

●●●

“ปัญหาสภาวะอากาศ...ได้กลายเป็นปัญหาทางยุทธศาสตร์ไปแล้วเพราะมันสามารถก่อให้เกิดผลกระทบระหว่างชาติต่อชาติ หนักยิ่งกว่าปัญหาผู้ก่อการร้ายหลายเท่า โอกาสที่เราจะได้เห็นจำนวนผู้อพยพขนาดใหญ่ ระดับแทบจินตนาการไม่ได้ อาจขึ้นไปถึง 30 ล้านคน ยิ่งกว่าจำนวนผู้ลี้ภัยจากซีเรีย ลิเบีย ที่ทะลักเข้าไปยังยุโรป กำลังอุบัติให้เห็นในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล...”

●●●

แต่คงไม่ใช่แค่การอพยพ หลบภัย ระดับ “แทบจินตนาการไม่ได้” เท่านั้น...ที่ก่อให้เกิดความหวาดหวั่นสั่นประสาทสำหรับบรรดานักยุทธศาสตร์ทั้งหลาย กระทั่งการล่มสลายของ “ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม” ทั้งแผง ความพังพินาศของ “ระบอบประชาธิปไตยที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทุนนิยม” ทั่วทั้งโลก ต่างขึ้นอยู่กับการกำหนดชะตากรรมโดย “ธรรมชาติ” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ภายใต้ภาวะเช่นนี้นี่เอง...มันเลยทำให้ประชาธิปไตยปลอมๆ เสรีภาพปลอมๆ เศรษฐศาสตร์ปลอมๆ หรือเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ได้มุ่งสู่ความสุข ความสงบ ความมีสันติภาพ สันติธรรม ของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม กลับเป็นสิ่งที่โบร่ำโบราณคร่ำครึ ล้าสมัย หรือใกล้จะเชยซ์ซ์ซ์ยิ่งขึ้นทุกที ขณะที่สิ่งใดๆ ก็ตามที่มี “ธรรมะ” เป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าประชาธิปไตยที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานธรรมะ หรือจะเรียกว่า “ธรรมาธิปไตย” ก็คงพอได้ เสรีภาพทางจิตวิญญาณ หรือแม้แต่ “เศรษฐกิจพอเพียง” จึงกลับกลายเป็นสิ่งที่สุดแสนจะก้าวหน้า ทันสมัย ถือเป็นคำตอบ เป็นทางออก ทางรอด ที่ไม่ว่าสังคมใด ประเทศใด หรือแม้แต่โลกทั้งโลกย่อมมิอาจปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย...
กำลังโหลดความคิดเห็น