อาจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
https://businessanalyticsnida.wordpress.com/
https://www.facebook.com/BusinessAnalyticsNIDA/
สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
https://businessanalyticsnida.wordpress.com/
https://www.facebook.com/BusinessAnalyticsNIDA/
ประเทศไทยกำลังพยายามมุ่งหน้าพัฒนาประเทศด้วย Thailand 4.0 ซึ่งมีจุดเน้นที่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital economy) เศรษฐกิจที่เน้นความรู้เป็นฐาน (Knowledge-based economy) เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative economy) ทั้งหมดนี้เน้นนวัตกรรม การสร้างสรรคุณค่าและสิ่งที่แปลกใหม่ที่นำไปสู่ธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืน เป็นความพยายามในการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจากการรับจ้างผลิต เศรษฐกิจที่เน้นแรงงาน (Labor-intensive economy) และการติดกับดักรายได้ปานกลาง (Middle-income trap) มายาวนานนับสิบปีจนปล่อยให้มาเลเซียแซงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว และเวียดนามกำลังจะแซงหน้าไปในอีกไม่นานนี้
รัฐบาลพูดถึง Thailand 4.0 กันปาวๆ แต่คนไทยยังเป็นคนไทย 1.0 หรือ 2.0 กันแทบทั้งหมด แล้วจะเปลี่ยนประเทศให้เป็น Thailand 4.0 ได้อย่างไร ในเมื่อคนของเรายังไม่พร้อมเลยที่จะก้าวไปสู่ Digital Economy, Knowledge-Based Economy, และ Creative Economy เรามาลองพิจารณากันดูว่า เราจะก้าวไปสู่ Thailand 4.0 คนไทยต้องมีคุณลักษณะอะไรอย่างไรบ้าง และเราจะชวยกันทำอย่างไรให้คนไทยพร้อมก้าวไปข้างหน้า ไม่ล้าหลังเมื่อเทียบกันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
คุณลักษณะของคนไทยประการใดบ้างที่จะเอื้อให้ Thailand 4.0 หรือ อีกนัยหนึ่งจะทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจที่เน้นความรู้เป็นฐาน เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางไปได้มีอะไรบ้างมาลองพิเคราะห์กันต่อจากสัปดาห์ก่อน ซึ่งได้แก่ ความแตกฉานด้านสถิติและข้อมูล ความแตกฉานด้านการเงิน ความแตกฉานด้านคณิตศาสตร์ ทักษะในการเขียนโปรแกรม ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสี่ประการแรก ดูได้จาก http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9600000000600
เราจะมาดูต่อว่าคุณลักษณะที่เหลืออีกสี่ประการ ดังนี้
ประการที่ห้า พฤติกรรมการค้นคว้าหาข้อมูล (Information seeking behavior) คนไทยเราใช้อินเทอร์เน็ตเยอะมาก โดยเฉพาะเครือข่ายและสื่อสังคม (Social network media) แต่เรานิยมใช้กันเพื่อแพร่และแชร์ข่าวซึ่งไม่เป็นจริง อ้างอิงแปลกๆ เช่น มะนาวโซดาจากหมอศิริราชรักษามะเร็งได้ และส่ง sticker บนไลน์ จำพวกดอกไม้เจ็ดสี สวัสดีเจ็ดวัน เมื่อจะต้องใช้ internet ในการค้นคว้าหาความรู้จริงๆ เรากลับทำไม่เป็น ไม่รู้จักแหล่งว่าควรเริ่มต้นหาข้อมูลทางวิชาการที่ต้องนำมาประยุกต์ใช้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะใช้ key word ใดในการค้นหาข้อมูล
สิ่งที่คนไทยค้นหาก็สะท้อนอะไรหลายอย่างเช่นกัน
ลองมาพิจารณาคำค้นหาจาก google ที่คนไทยค้นหามากในปี 2558 ดังลิงค์ข้างล่างนี้
https://www.it24hrs.com/2015/google-year-in-search-2558-thailand/
เราจะพบว่าบน Desktop นั้นเราค้นหาแต่เพลง หนัง ละคร ดารา มากกว่าจะค้นคว้าหาความรู้ คำเหล่านี้ได้แก่ เชือกวิเศษ รักนะเป็ดโง่ เพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอน ทิ้งไว้กลางทาง สุดแค้นแสนรัก สงครามนางงาม เพลงขัดใจ ข้าบดินทร์ แอบรักออนไลน์ ตัดพ้อ
ส่วนคำค้นหาบน google ที่มีความถี่สูงสุดในปี 2559 โปรดดูได้จากลิงค์นี้ https://www.it24hrs.com/2016/google-thailand-year-search-2016/ เราก็จะพบว่าคำค้นหายอดฮิต ส่วนใหญ่ก็ยังเน้นที่วงการบันเทิงหรือกีฬาหรือเกมส์ มีคำค้นหาอันดับสองคือในหลวง เนื่องจากปีนี้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงของปวงชนชาวไทยนอกจากนั้นเป็นคำค้นที่จัดว่าเป็นไปเพื่อความบันเทิงมากกว่าความรู้ คำค้นสิบอันดับคือ 1. Descendants of the Sun 2. ในหลวง 3. Slither.io 4. การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ริโอ 2016 5. เพื่อนรักเพื่อนร้าย 6. Roblox 7. คนทางนั้น 8. หลวงพี่แจ๊ส 4G 9. Pokémon Go 10. ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน
การค้นหาคำ การค้นหารูป การค้นหาข้อความ การค้นหาวีดีโอ การค้นหาเสียง ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ความรู้และทักษะในการค้นหาข้อมูลทั้งสิ้น ต้องรู้จักการค้นหาแบบมีเงื่อนไขเช่น Boolean Search หรือการใช้ Advanced Search โดยการกำหนดเงื่อนไขหรือ scope ของสิ่งที่ต้องการค้นคว้าและเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งสำหรับการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม การจะจดสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญา แม้กระทั่งการกำหนดโจทย์การวิจัยหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับ Digital Economy, Knowledge-Based Economy, และ Creative Economy ทั้งสิ้น และต้องอาศัยพฤติกรรมการค้นคว้าหาข้อมูลทั้งสิ้น
ผมเองเมื่อไปเรียนหนังสือที่สหรัฐอเมริกา ต้องเดินไปหา Research Librarian หรือบรรณารักษ์สำหรับการวิจัยให้สอนวิธีการค้นคว้าหาข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ ใช้เวลาเรียนเป็นวันๆ ได้รับความรู้มากมาย และทำให้ทราบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่ใครคิด
ประเด็นที่สำคัญกว่าคือเมื่อค้นคว้าหาข้อมูลมาได้ ยังต้องมีทักษะในการกลั่นกรองข้อมูล วิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย ข้อบกพร่อง ตลอดจนความเหมาะสมหรือคุณภาพของข้อมูลที่เราค้นคว้ามาได้ พฤติกรรมการปล่อยข่าวลือในโลกออนไลน์ของคนไทย (อันที่จริง Hoax ของฝรั่งก็มีมากมายเช่นกัน) คงสะท้อนปัญหาพฤติกรรมการค้นคว้าหาข้อมูลของคนไทยได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ควรมีการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยหรือในระดับโรงเรียนเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับโลกในปัจจุบันและในอนาคต
ประการที่หก ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ (English Proficiency) เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับ Thailand 4.0 เพราะการฟังและการอ่านนั้นเป็นทำหน้าที่ในการรับสาร (Receptive function) ดังนั้นภาษาอังกฤษจะช่วยให้คนไทยสามารถติดตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ หากประเทศไทยจะเข้าสู่ Thailand 4.0 ต้องการพัฒนา Digital Economy, Knowledge-Based Economy, และ Creative Economy แล้วจำเป็นต้องรู้เท่าทันต้องแสวงหาความรู้เป็น ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษยังช่วยให้เรามีพฤติกรรมค้นคว้าหาข้อมูลในประการที่ห้าได้ดีขึ้นด้วย อย่างน้อยก็จะทราบว่าควรใช้ key word ใดในการค้นหาข้อมูล ได้ข้อมูลมาก็สามารถอ่านให้เข้าใจได้ วิเคราะห์ได้ ในอีกทางการพูดและการเขียนนั้นก็ทำหน้าที่ในการผลิตสาร (Productive function) หากต้องการให้ความคิด นวัตกรรม งานวิจัย ศิลปะสร้างสรรค์ วัฒนธรรม เป็นที่รับรู้ทั่วโลก ขายไปได้ทั่วโลก ภาษาอังกฤษก็จำเป็นมากทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าผิดหวังว่าคะแนน TOEFL iBT (Test of English as a Foreign Language-Internet-based testing) ของไทยคะแนน TOEFL iBT ในปี 2553 มีค่าเฉลี่ย 75 คะแนน จากคะแนนเต็ม 120 คะแนน สูงกว่ากัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนามเท่านั้น แต่ยังต่ำกว่าสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน (ที่มา : http://www.thai-aec.com/458#ixzz4UhwTFuT6)
นอกจากนี้คะแนน TOEIC: Test of English as an International Communication เมื่อเปรียบเทียบกับชาติอาเซี่ยน ไทยเราก็แพ้ฟิลิปปินส์และมาเลเซียหลุดลุ่ย และดีกว่าอินโดนีเซียนิดหน่อย แต่ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้จริง หลายคนอาจจะโต้แย้งว่า ฟิลิปปินส์กับมาเลเซียเคยเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่การเป็นเมืองขึ้นก็ไมได้ทำให้ภาษาอังกฤษของคนในชาตินั้นๆ ดีขึ้นเสมอไป
ประการที่เจ็ด ความคิดวิจารณญาณ (Critical thinking) การมีความคิดวิจารณญาณทำให้เราสามารถกลั่นกรองพิจารณาได้ว่าความคิดหรือข้อมูลใดมีความเป็นจริงสักแค่ไหน มีความเป็นไปได้เท่าใด มีความถูกต้องเพียงใด ทำให้เราไม่หลงเชื่อ ทำให้เราคิดและวิเคราะห์ที่เราได้รับสารเข้ามา ช่วยให้เรากลั่นกรองและวิพากษ์ความคิดตัวเอง ประเมินความคิดและข้อมูลของทั้งที่ตัวเองคิดและที่ผู้อื่นสื่อสารมาหาเรา ช่วยลดความผิดพลาดในการตัดสินใจได้ แต่ถ้ามีมากจนเกินไปก็จะเกิดปัญหาเช่นกัน เช่นทำให้เป็นคนที่คอยจ้องจับผิดไปเสียทั้งหมด เป็นคนที่วิจารณ์ไปทุกสิ่งมากเกินไป (Skeptical) ซึ่งควรมีในระดับหนึ่ง การจะสร้างนวัตกรรมหรือสิ่งสร้างสรรค์ทางศิลปะหรืองานวิจัย อาศัยเพียงความคิดสร้างสรรค์ไม่เพียงพอต้องอาศัยความคิดวิจารณญาณ เป็นสติให้แยกแยะได้ระหว่างความคิดสร้างสรรค์กับความฝันเพ้อเจ้อตอนกลางวัน (Daydreaming)
สังคมไทยเต็มไปด้วยข่าวลือและข่าวเท็จที่ปล่อยมา (Rumor and hoax) โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ในโลกปัจจุบันที่มีข้อมูลล้นทะลักทลาย (Information overload) จำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยต้องมีความคิดวิจารณญาณเพื่อจะกลั่นกรอง หลักกาลามสูตร 10 ประการของพระพุทธเจ้าเป็นหลักการเบื้องต้นที่จะทำให้คนเรามีความคิดวิจารณญาณ
สาเหตุที่คนไทยขาด critical thinking นั้นน่าจะมาจากการที่เรามีวัฒนธรรมจำยอมกับอำนาจ การศึกษาของ Hofstede เรื่องวัฒนธรรมองค์การพบว่าคนไทยมี Power Distance สูง เกรงกลัวผู้มีอำนาจ ทำให้ไม่กล้าคิด แต่เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นสาเหตุหลัก สาเหตุหลักจริงๆ คือการที่คนไทยไม่เคยถูกฝึกให้คิด เรียนหนังสือกันโดยการท่องจำ แม้กระทั่งการเรียนวิชาคำนวณหรือการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ก็อาศัยการท่องจำไปสอบ ท่องบทพิสูจน์กันเป็นร้อยๆ หน้าโดยปราศจากความเข้าใจ ผลสอบ PISA นั้นสะท้อนปัญหานี้เช่นกัน ทั้งในส่วนของวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เพราะข้อสอบ PISA เน้นที่การให้เหตุผล การคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เช่น ให้อ่านผลการทดลองแล้วอภิปรายว่าเพราะเหตุใดจึงได้ผลการทดลองเช่นนี้ ซึ่งการศึกษาแบบไทย ยังเน้นการท่องและการคำนวณโดยจำสูตร ไม่อธิบายหลักการเหตุผล ที่มาที่ไป ทำให้เราไม่ถูกฝึกให้คิดแบบมีวิจารณญาณ ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น โดยเฉพาะคุณภาพของครูผู้สอน
ประการที่แปด ความคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) ซึ่งเป็นความสามารถในการคิดในสิ่งที่แปลกใหม่ มีนวภาพ (Novelty) ไม่ซ้ำแบบใคร (Originality) และมีคุณค่าได้รับการยอมรับจากสังคม (Socially valued idea) การมีความคิดแปลกใหม่แต่ไม่ได้รับการยอมรับเลยไม่น่าจะถือได้ว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่ดีมากนัก เช่น ถ้าถามว่าคิดว่าอิฐใช้ทำอะไรได้บ้าง บางคนอาจจะตอบว่าเอาไว้ทุบหัวฆ่าคนให้ตายแล้วปล้นข่มขืนแล้วชิงทรัพย์ ซึ่งอาจจะเป็นความคิดที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำแบบใคร แต่คงหาใช้ความคิดสร้างสรรค์ไม่ นิยามของความคิดสร้างสรรค์เช่นนี้เป็นของ Professor Teresa M. Amabile แห่ง Harvard Business School
ทั้งนี้ความคิดสร้างสรรค์จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสร้างนวัตกรรม ทำงานวิจัยเพื่อสร้างความรู้ใหม่ การทำธุรกิจหากมีความคิดสร้างสรรค์จะทำให้สร้างความแตกต่าง (Differentiation) ทำให้มีจุดขายที่ชัดเจน ทางธุรกิจเรามีคำพูดว่า Differentiate or die! การที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0 ซึ่งเน้นที่ Digital Economy, Knowledge-based economy, และ Creative economy จำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทย 4.0 ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่เช่นนั้นเวลาเริ่มต้นทำธุรกิจอะไร คนไทยก็จะถามว่าจะทำธุรกิจอะไรดี ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่ฉลาดเลย และลงท้ายด้วยการทำธุรกิจที่เหมือนๆ กัน เช่น เปิดร้านกาแฟ หรือ การเลียนแบบธุรกิจเดิมที่มีอยู่แล้วการที่เราเดินทางออกต่างจังหวัดแล้วริมทางขายสินค้าเหมือนๆ กันยาว เช่น โรตีสายไหม ข้าวหลาม เป็นสิบกิโลเมตรคือภาพสะท้อนการไม่มีความคิดสร้างสรรค์ในการเป็นผู้ประกอบการของคนไทย เพราะอาศัยการลอกเลียนแบบกันเป็นหลัก ทั้งๆ ที่ก่อนที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจใด เราต้องถามว่าตัวเรามีความสามารถพิเศษ มีสินค้าหรือบริการที่พิเศษและแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร และจะทำอย่างไรให้สิ่งเหล่านั้นเป็นที่รู้จักและขายได้ หรือถ้าหากพิจารณาแล้วยังไม่มีเลยก็สามารถสร้างและพัฒนาตนเองให้มีความแตกต่างและโดดเด่นเหล่านั้นได้ก่อนการเริ่มต้นทำธุรกิจมากกว่าจะถามว่าจะทำธุรกิจอะไรดี
สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อครับผม