xs
xsm
sm
md
lg

พุทธศาสนา..กับ..ในหลวงรัชกาลที่ 9 (ตอนจบ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

ธรรมล้ำค่าของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” นั้น.. มีมากมายมหาศาล เกินจะหยิบยกได้ครบถ้วน..

“ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทาน ในการเสด็จฯ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2513 ความตอนหนึ่งดังนี้..

“..เรื่องวิธีการสอนธรรมะ หรือพุทธสมาคมใช้คำว่า “เผยแพร่หลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา” ให้เข้าถึงบุคคลประเภทต่างๆนั้น ความจริงมีปรากฏอยู่อย่างสมบูรณ์ในคัมภีร์ มีทั้งที่กล่าวไว้โดยตรงและโดยอ้อม ทั้งที่กล่าวโดยสรุปและโดยละเอียดพิสดาร ซึ่งเชื่อว่าท่านทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าเป็นหลักวิชาที่นำมาปฏิบัติให้ได้ผลจริงๆ ได้อย่างแน่นอน

ผู้มีปัญญาที่ปรารถนาจะช่วยผู้อื่น จะต้องพยายามศึกษาพิจารณาเลือกสรรวิธีการนั้นๆ จากตำรา นำมาใช้นำมาสอนให้เหมาะแก่บุคคล แก่กาลสมัย และแก่สภาพการณ์ในปัจจุบัน คนที่เรียกว่าเป็นคนสมัยใหม่นั้น ยึดหลักเหตุผลเป็นสำคัญ การสอนคนสมัยใหม่จะต้องนำเหตุผลที่มีอยู่ในคัมภีร์ มาพิจารณาและหยิบยกแต่เฉพาะเนื้อหามาอธิบาย การสอนให้ปฏิบัติตามแบบฉบับเฉยๆ โดยปราศจากเหตุอันสมควรจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ถูกอบรม” และ “ถูกบีบบังคับ” จนหมดความสนใจ

หน้าที่ของท่านในการเผยแพร่หลักธรรมในพระพุทธศาสนา จึงอยู่ที่การเลือกเฟ้นข้อธรรมะ และเลือกเฟ้นวิธีการสอน การใช้คำพูดที่เหมาะอธิบายหลักธรรมะ เทียบเคียงกับตัวอย่างที่เป็นของจริง จนเห็นชัดเจนได้ตามสภาพจิตใจของคนสมัยปัจจุบัน เพื่อช่วยให้แต่ละคนสามารถค้นหาและเข้าใจข้อธรรมะ ซึ่งจะนำมาใช้เป็นหลักการในการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามฐานะของตน..”

พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในการเปิดประชุมใหญ่ ของสมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร ครั้งที่ 22 ณ หอประชุมวัดโสธรวรารามวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ 7-9 ธันวาคม 2517 ความตอนหนึ่งสรุปว่า

“..ผู้ที่จะเผยแพร่พุทธธรรม ควรอย่างยิ่งที่จะถือเป็นภาระเบื้องต้น ในการชี้แจงให้ผู้ฟังเห็นคุณเห็นโทษของสิ่งต่างๆโดยชัดเจน จึงจะสามารถสร้างศรัทธาที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นได้ และสามารถจรรโลงพระศาสนา ส่งเสริมจริยธรรมได้เป็นผลสำเร็จ..”

ส่วนเรื่องของพระสงฆ์นั้น “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงมีพระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2523 ไว้ตอนหนึ่งว่า

“..ในเมืองไทยก็อย่างนี้ ถ้าคนเรามีปัญหา มีความเดือดร้อนอะไร ส่วนมากก็ไปอย่างที่เขาเรียกว่า “ไปคุยกับพระ” แล้วก็จะสบายใจ เพราะว่าพระสามารถที่จะนำบทต่างๆ ในพระพุทธศาสนามาชี้แจงและเปรียบเทียบให้ดู ให้ฟัง แล้วก็สบายใจขึ้น พูดด้วยใจจริง

อย่างในต่างประเทศที่เราเรียกว่าประเทศที่เจริญแล้ว บุคคลใดมีปัญหา มีความเดือดร้อน ก็ไปหาจิตแพทย์ บอกว่า “ไม่สบาย ไม่สบายใจ” แล้วก็หาเหตุผล แต่พระสามารถที่จะอธิบายโดยใช้หลักเหตุผลของพุทธศาสนาไปอธิบายให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน หรือว่าถ้าสามารถที่จะให้พระได้ไปปาฐกถา หรือใช้ปาฐกถาไปแสดงธรรม หรือไปแนะนำทั้งครู ทั้งนักเรียน หรืออาจมีประชาชนทั่วๆ ไป เข้าฟังเป็นประจักษ์ ก็จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด..

พระสงฆ์ที่มาเป็นพระสงฆ์ก็ด้วยใจสมัคร ด้วยใจสมัครที่จะเข้ามาใกล้ผู้ถือศาสนา ครองผ้าเหลืองนี้ก็คือทำเจริญรอยตามพระพุทธเจ้า เพื่อให้ร่างกายเข้าใกล้พระพุทธเจ้า และจิตใจจะเข้าใกล้พระพุทธเจ้า ฝึกฝนเรียนพระธรรมวินัย ปฏิบัติตามวินัยที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้ ก็ยิ่งเข้าใกล้พระพุทธเจ้าใหญ่ ศึกษาพระธรรมหมายถึงวิธีการต่างๆ ของกลไกต่างๆ ของสมองของคน ก็ยิ่งใกล้เข้าไปอีก

พระบางรูปก็ทำได้ดี พระบางรูปก็ทำไม่ได้ดี เป็นอยู่ที่บุญกรรมที่ได้เคยสร้างมา แต่อย่างไรก็ตามพระที่ดีก็มีมาก และเป็นที่มุ่งอาศัยของคฤหัสถ์ทั้งหลาย ของพุทธบริษัททั้งหลาย

ฉะนั้น พระที่เลือกเข้ามาเป็นพระสงฆ์แล้ว ครองผ้าเหลืองแล้ว ก็มีหน้าที่ที่จะแผ่ความคิด วิธีคิดของพระพุทธเจ้า ให้แก่ทุกคน ความคิดที่ดีที่ได้ผล มิใช่เข้าอุปสมบทเพื่อที่จะได้เข้ามาบวชแบบที่จะมาสร้างความเป็นใหญ่ เข้ามาบวชเข้าพวกเพื่อให้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็น “วิถีทางดับทุกข์” คือร่วมกันเพื่อชักชวนช่วยผู้อื่นที่ยังไม่มีความสามารถที่จะดับทุกข์ได้โดยแท้ให้บรรเทา

..พระสงฆ์ที่สมัครเข้าเป็นสาวกพระพุทธเจ้า สมัครเข้าเป็นพระสงฆ์ พระสงฆ์ก็คือบุคคล แต่สมัครใจเข้ามาเป็นพระสงฆ์ กฎวินัยที่จะทำตนให้ดี เป็นตัวอย่างว่าคนทำได้ และหาความรู้จนกระทั่งถึงถ่ายทอดความรู้ที่เหมาะสมแก่บุคคลที่เดือดร้อน..

..แต่ถ้าถือว่า พระสงฆ์ต้องปรับปรุงโน่นปรับปรุงนี่ ไม่มีเวลาที่จะมาแสดงตนเป็นตัวอย่างและสั่งสอนในทางที่ถูกต้องแล้ว จึงขอวิงวอนให้พระสงฆ์ช่วยกันทำตามเป้าหมายแท้ ความหมายแท้ของพระพุทธศาสนา คือทำให้มีความสงบสุขในหมู่ชน

และต้องทราบว่า ชาติไทยนี้ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาค้ำจุน ชาติไทยคงไม่มี แต่ถ้าชาติไทยไม่มีพระพุทธศาสนาจะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลหรือชาติเองไม่ได้ ดังที่ได้เห็นเป็นตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆ ในระยะสองเดือนหลังนี้ในต่างประเทศที่ใกล้ชิด

ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะช่วยกันป้องกันด้วยความเข้มแข็ง ทั้งเข้มแข็งว่าไม่อยากตาย ทั้งเข้มแข็งว่า เป็นผู้กล้าเผชิญสถานการณ์แรกด้วยตัวเอง ด้วยการตั้งปัญหาว่าควรจะทำอย่างไร

ถ้าศาสนาคือการเมืองและถูกโจมตีหนักอย่างนั้น เพราะใครต่อใครเขารู้ว่า ถ้าอยากจะกลืนเมืองไทยอยากจะมาใช้เมืองไทยทั้งคนไทยและผืนแผ่นดินไทยเป็นประโยชน์แก่ต่างด้าว ต้องทำลายศาสนาก่อน และกำลังทำลายอยู่ ฉะนั้น เราต้องสู้ สู้เพื่อตัวเอง สู้เพื่อความอยู่รอด

ไม่ใช่ว่า บอกขอให้ “ป้องกันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เป็นคำพูดที่เฉิ่ม ป้องกันทำไม ป้องกันชาติ เพราะว่าถ้าไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา ไม่มีเครื่องมือที่จะมาใช้ ที่จะมาเป็นกำลังใจให้เราอยู่ได้ ไม่พูดถึงพระมหากษัตริย์ เพราะว่าเป็นตนเอง และถ้าหากทุกคนทำถูกต้องแล้ว ทุกคนก็ทำหน้าที่ของบุคคลที่เป็นพลเมืองดี พระมหากษัตริย์ก็พอใจ..

..จะต้องทราบว่าจุดสำคัญอยู่ที่ว่า พระสงฆ์มีพระสงฆ์ปลอมอยู่มาก ที่ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเป็นพระสงฆ์ ตั้งใจที่จะมาตั้งฐานทัพ เป็นฐานทัพที่จะกำจัดพวกเราออกไป ก็ขอให้พิจารณาและสามารถที่จะปฏิบัติต่อไป

คำพูดที่ได้พูดถึงในวันนี้ว่า คำว่า “ฐานทัพ” น่ากลัวมาก ฝ่ายหนึ่งจะทำลายเรา และได้มีอยู่ในศาสนาแล้ว ให้แยกให้ทราบว่าเป็นใคร เป็นอย่างไร วิธีการอย่างไร พระสงฆ์ต้องทราบ พระสงฆ์ที่ดีมิใช่ผู้วิเศษใดๆแต่วิเศษในทางที่มีเหตุผลและมีความบริสุทธิ์ จะได้ทราบว่าผู้ใดมาตั้งตัวเป็นฐานทัพในพระพุทธศาสนา..

..เดี๋ยวนี้มีพระสงฆ์ที่เข้ามาขอให้บวชด้วยความสมัครใจ แต่ขอเข้ามาแล้ว เสร็จแล้วมาทำลายตัวเอง ทำตนไม่ดี ผิดธรรมวินัย ทำให้ประชาชนเสื่อมความนับถือผ้าเหลือง จนกระทั่งพระที่ดีๆ ต้องเรียกร้องอย่างที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ หรือเห็นโจษกันว่า เดี๋ยวนี้พระออกไปบิณฑบาตไม่มีใครใส่บาตร เพราะว่าไม่ไว้ใจ..”

นั่นเป็นพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทเพียงเศษเสี้ยว ในยุคสมัยของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงชี้ให้เห็นถึงแสงสว่างแห่งธรรมอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า และปัญหา “มารศาสนา” ของบรรดาพวก “พระหย่อนธรรมวินัย” และ “พระปลอม” ที่มุ่งทำลายชาติและศาสนามาจนทุกวันนี้

ที่สำคัญยิ่งคือ กลุ่มนักการเมืองชั่ว-พระหย่อนธรรมวินัย-พระปลอม ฯลฯ ยังเหิมเกริมบังอาจถึงขั้นพยายามจะยึดอำนาจ ทั้ง “ราชอาณาจักร” และ “ศาสนจักร” ไว้ในกำมืออีกด้วย

ดังนั้น รัฐบาล “บิ๊กตู่” ผู้มีอำนาจเต็มเปี่ยมในขณะนี้ จึงต้องเร่งปฏิรูปชาติและศาสนา ให้ลุล่วง ก่อนจะมี “การเลือกตั้ง”!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น