นายกฯ ประกาศกร้าว 3 เดือนก่อนสงกรานต์ ตรวจเข้มดำเนินทุกคดีรถโดยสารสาธารณะผิดกฎหมาย ออกมาตรการรถตู้เปลี่ยนใช้แก๊สเอ็นจีวีแทนแอลพีจี ทั้งหมด ลั่นถ้าไม่อยากตายมากทุกคนต้องร่วมมือ "บิ๊กป้อม" เล็งใช้ มินิบัสวิ่งระยะสั้นแทน คมนาคม เสนอใช้มาตรา 44 เพิ่มบทลงโทษ อุดช่องโหว่ที่กฎหมายเอาผิดไปไม่ถึง ล้อมคอกอุบัติเหตุรถตู้โดยสารสาธารณะ ขณะที่ ครม .ไฟเขียว ร่างแก้ไข พ.ร.บ.จราจร เพิ่มโทษเมาแล้วขับ-แข่งรถ ด้านนิติเวช รพ.ตำรวจ ยืนยันตรวจร่างโชเฟอร์รถตู้ ไม่พบสารเสพติด-แอลกอฮอล์ในเลือด เตรียมมอบศพเหยื่อให้ญาติได้ทั้งหมด
วานนี้ (4ม.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึง สถิติตัวเลขอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ยังสูง ว่า เรื่องของการจราจร ให้ไปถามความคิดของคนที่จะมาเป็นรัฐบาลต่อไป ว่าจะแก้อย่างไร วันนี้อย่ามาถามตน เพราะได้ทำทุกวิถีทางแล้ว ไม่ว่าจะใช้ ม.44 การยึดรถ การจับกุม ทำหมดแล้ว แต่ก็ยังมีตายอยู่ หลักการง่ายๆ ถ้ามีกิจกรรมก็จะมีผลอย่างนี้เกิดขึ้น คนใช้รถมาก น้ำมันถูก ถนนดีขึ้น รถก็วิ่งเร็วมากขึ้น ขณะที่สังคมคนยังดื่มสุราขับรถอยู่เหมือนเดิม แล้วจะมีกฎหมายไหนที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ นอกจากจิตใจ การมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคน ซึ่งประชุมครม.พูดคุยเรื่องนี้กันยาวพอสมควร
"ผมมีวิธีเดียวคือ จากนี้เป็นต้นไป ภายใน 3 เดือน จะดำเนินคดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกี่ยวกับรถ คนขับ รถไม่ได้มาตรฐาน รถตู้ที่บรรทุกเกินที่นั่งจำนวนที่กำหนด เบียดเสียดยัดเยียดบนรถประจำทางทั้งหมด รถโดยสารประจำทางทั้งหมดที่ให้บริการ จะต้องมีสมุดประจำรถ ลงชื่อคนขับ เวลาขับ ทุกเส้นทาง โดยด่านตรวจทุกด่าน จะต้องตรวจทั้งหมด ถ้าขับเกินเวลาต้องยึดรถ เอาคนลง แล้วหารถใหม่ คนขับใหม่ ผมจะใช้มาตรการนี้เข้มงวดใน 3 เดือน ก่อนถึงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ อย่าโวยวาย ถ้าใครวิ่งไม่ได้ เดี๋ยวผมหารถมาวิ่งเอง รถพวกนี้เป็นรถร่วมบริการทั้งสิ้น ถ้าทุกคนต้องการความปลอดภัย ต้องร่วมมือกับผม ถ้าไม่อยากให้มีการตายมาก เพราะวันนี้ทำเต็มที่แล้ว มีด่านมากกว่าปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่มากกว่าปีที่แล้ว ยึดรถเป็นหมื่น แล้วต้องมาดูแลรักษารถอีก แล้วยังบาดเจ็บสูญเสียอีก" นายกฯกล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ไปดูรถตู้ให้บรรทุกเท่าไร ตามกฎหมายกำหนด ต้องมีสายรัดนิรภัย และต้องดูว่าคาดหรือไม่ ส่วนรถกระบะใช้บรรทุกของ ก็ไปนั่งท้ายกันเป็นสิบๆ คน ทางแก้ต้องมีมาตรการในเชิงป้องกัน และต้องแก้ปัญหาในระยะยาว แต่วันนี้จะแก้ปัญหาระยะสั้นก่อน บอกไปเท่าไร ก็แก้ไม่ได้ แก้ด้วย ม.44 ก็ยังแก้ไม่ได้ ดังนั้นจะมีอะไรมากไปกว่าต้องบังคับใช้กฎหมายก่อนที่จะมากกว่าไปนี้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รถตู้ต้องอยู่ในกรอบกติกา รถตู้ป้ายเหลืองไม่ใช่ปล่อยปะละเลย ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลทำไมปล่อยให้มีรถตู้ผิดกฎหมายวิ่งอยู่ ก็เอาเขามาขึ้นทะเบียนให้เรียบร้อย เป็นป้ายเหลืองไปก่อนในช่วงจัดระเบียบ วันหน้าต้องเป็นป้ายรถขนส่งทั้งหมด ถูกต้องตามกฎหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การใช้เชื้อเพลิงก็ไม่ให้ความร่วมมือ ใช้แก๊สแอลพีจี ซึ่งเป็นแก๊สหุงต้มมาใช้ในการขนส่ง พอเกิดอะไรขึ้นมารัฐบาลต้องรับผิดชอบอีก ฉะนั้น ต้องหามาตรการเปลี่ยนใช้แก๊สเอ็นจีวี ส่วนต้องเปลี่ยนภายในระยะเวลาเท่าไร จะหามาตรการมา ต่อไปนี้จะตรวจที่นั่งในรถตู้ ดูซิจะออกมาเดินขบวนกันอีกไหม ไม่อย่างนั้นมันก็จะเจ็บตายกันอยู่แบบนี้ และเดี๋ยวตนจะให้ถอดตัวกฎหมายต่างประเทศให้ดูว่า เขาห้ามอะไรบ้าง ใบขับขี่ทำอย่างไร แต่ของเราแตะอะไรไม่ได้เลย บอกละเมิดสิทธิมนุษยชน แล้วอย่างนี้จะมาเอาอะไรกับตน บอกกฎหมายทุกอันละเมิดสิทธิมนุษยชนหมด เราปล่อยให้ตายไม่ได้แล้ว เพียงแต่เรื่องของระบบขนส่งที่ผ่านมา ทั้งส่วนของรถไฟ รถเมล์ ขสมก. เคยได้รับการปรับปรุงหรือไม่ จึงต้องมีรถตู้มาเสริม แต่ก็ดันไม่ปลอดภัย มันเป็นทั้งระบบ ตนไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า ในที่ประชุมครม. ก็มีการหารือร่วมกัน ที่จะหารถที่ทำให้เกิดความปลอดภัยในระยะสั้น ถ้าจะเป็นรถมินิบัส ที่วิ่งในระยะทางสั้นๆได้หรือไม่ เช่น กรุงเทพฯ-จันทบุรี หรือ กรุงเทพฯ-ลพบุรี ก็มอบให้กระทรวงคมนาคมไปคิด และดำเนินการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และเกิดการบริการที่ดีต่อประชาชน
** ครม.ผ่านร่างแก้ไขกม.จราจรทางบก
นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้พิจารณา และอนุมัติ ร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก ซึ่งนายกฯ ให้ความสำคัญมาก และมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะขับรถขณะเมาสุรา และการคาดเข็มขัดนิรภัย และการบรรทุกน้ำหนักเกินที่นั่ง หรือเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และต้องเข้มงวดในเรื่องของการให้ใบขับขี่รถ ต้องมีความเข้าใจ และมีความรับผิดชอบในการขับรถด้วย เพราะอาจจะกระทบถึงความปลอดภัยของคนอื่นด้วย นอกจากนี้ ยังพิจารณาถึงการไม่ชำระค่าปรับใบสั่งแล้วไปต่อทะเบียนป้ายวงกลมได้นั้น เป็นการขัดต่อกฎหมาย เพราะการต่อทะเบียนป้ายวงกลมนี้ เป็นเรื่องของการเสียภาษี ดังนั้นก็จะมีการเข้มงวดมากขึ้น จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังมากขึ้น ดังนั้นต้องมีการปรับทั้งระบบ"
ทั้งนี้ ครม.เห็นชอบแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก โดยแก้ไขเพิ่มเติมมาตรการบังคับ สำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่ง ให้ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการจราจร มีหน้าที่ออกหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ หรือเจ้าของรถที่ไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่งมาชำระค่าปรับภายใน 15 วัน หากยังไม่ชำระค่าปรับ สามารถยึด หรือพักใช้ใบขับขี่ได้ รวมทั้งให้ชะลอการรับชำระภาษีประจำปีไว้ก่อน นอกจากนี้ยังให้เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำภายใน 1 ปี จะต้องเพิ่มค่าปรับอีก 2 เท่า ขณะเดียวกัน มีการแก้ไขเพิ่มเติมอัตราโทษความผิดฐานแข่งรถโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการจัดให้มีการมั่วสุมที่มีลักษณะนำไปสู่การแข่งรถ มีการเพิ่มเติมอัตราโทษในความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุรา หรือเมาของอย่างอื่น
*** คมนาคมเสนอใช้ ม.44อุดช่องโหว่
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (4 ม.ค.) ได้หารือถึงการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ซึ่งเมื่อวันที่ 2 ม.ค. มีอุบัติเหตุใหญ่ ที่รถตู้โดยสารสาธารณะชนรถปิคอัพ ที่ถนนบ้างบึงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 25 ราย ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงอย่างมากและระบุว่า หากจำเป็นพร้อมใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ช่วยแก้ปัญหา เพิ่มความปลอดภัยในการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) บขส.และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะต้องพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่ามีการบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มข้น จุดใดที่มีบทลงโทษเบาเกินไป จะพิจารณาปรับให้สูงขึ้น เช่น กรณีรถตู้โดยสารสาธารณะบรรทุกผู้โดยสารเกิน ปัจจุบันบทลงโทษคนขับ ปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท ส่วนผู้ประกอบการ ปรับสูงสุด 20,000 บาท อาจน้อยไปหรือไม่ รวมถึงประเด็นใดที่กฎหมายยังไม่ครอบคลุมไปถึง จะต้องเพิ่มเติม ทั้งหมดต้องประมวลเสนอคณะทำงานคสช.พิจารณาต่อไป
นายอาคมกล่าวว่า กรณีรถตู้โดยสารของบขส.ซึ่งวิ่งระหว่างกรุงเทพ-ต่างจังหวัดนั้น มีหลายประเด็นที่ต้องจัดระเบียบอย่างเข้มข้น เช่น กำหนดจุดจอดรถในแต่ละจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการจัดระเบียบของแต่ละจังหวัดจะกำหนดความพร้อมของสถานีให้เสร็จ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 เมื่อรถทุกคันต้องเข้าสถานี ก่อนออกรถ จะมีการตรวจสภาพรถและคนขับ โดยเจ้าหน้าที่กรมขนส่งฯ ซึ่งจะขอความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาหรือเอกชนเข้ามาช่วย
ขณะที่ระยะยาว กรมขนส่งฯ จะต้องเร่งทำแผนเพื่อพัฒนารถโดยสารสาธารณะและกำหนดว่ารถตู้จะใช้เป็นรถโดยสารต่อหรือไม่เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางเนื่องจากรถตู้ออกแบบเป็นรถขนส่งสินค้า แต่มีการนำมาใช้ขนส่งผู้โดยสารเพราะสะดวกรวดเร็ว แต่อาจจะไม่เหมาะกับการเดินทางระยะไกล ซึ่งได้มีการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะเมื่อปี 2553 กำหนดอายุรถตู้ที่ 10 ปี โดยรถกลุ่มนี้จะหมดอายุปี 2563 ต่อมาจัดระเบียบใหม่ ปี 2557 กำหนดอายุใช้งาน 7 ปี และไม่มีการจดทะเบียนเพิ่มดังนั้น รถตู้โดยสารสาธารณะจะหมดอายุในปี 2564 ซึ่งจะสอดคล้องกับการพิจารณากำหนดรูปแบบการให้บริการใหม่ ซึ่งอาจจะปรับเป็นรถโดยสารขนาดกลาง 20 ที่นั่ง ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น
นายอาคมกล่าวว่า ได้สั่งการมาตรการเร่งด่วนเพื่อดำเนินการทันทีคือ ให้กรมขนส่งฯ ประกาศให้รถตู้โดยสารสาธารณะ ติดตั้ง GPS ควบคุมความเร็วทุกคัน ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2560 , ให้พนักงานขับรถมีใบขับขี่สาธารณะที่ถูกต้อง , ติดตั้งระบบแสดงผลความเร็วบนรถตู้โดยสาร , ขบ. ตั้งหน่วยเคลื่อนที่ตรวจสภาพรถ ณ สถานีขนส่งต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อตรวจสภาพความพร้อมใช้งาน หากรถมีสภาพไม่พร้อมใช้งานให้สั่งพักงานทันที ,พนักงานขับรถตู้ ต้องขับรถเกินวันละ 8 ชั่วโมง และต้องมีสมุดบันทึกการขับรถประจำรถทุกคัน และควรอบรมพนักงานขับรถก่อนการปฏิบัติงานทุกครั้ง เกี่ยวกับวินัย มารยาทในการขับรถ เครื่องแต่งกายต้องสุภาพเรียบร้อย และไม่ควรสวมรองเท้าแตะขับรถ
ส่วนมาตรการระยะยาว ให้ จัดทำแผนด้านความเหมาะสมในการใช้รถตู้เป็นรถโดยสารสาธารณะ เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้บริการของผู้โดยสาร ซึ่งจะมีความชัดเจนในปี 2560 , การออกใบอนุญาตขับขี่ ควรบรรจุในแบบเรียน เพื่อปลูกฝังด้านวินัย มารยาทในการขับขี่ ซึ่งเป็นมาตรการที่ยั่งยืนในอนาคต, ควรพิจารณาเพิ่มบทลงโทษให้สูงขึ้น รวมทั้งการเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย
** ไม่พบสารเสพติดในคนขับรถตู้
พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเอกลักษณ์บุคคลผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถตู้โดยสารชนประสานงากับรถกระบะ ที่ จ.ชลบุรี จนเกิดเพลิงไหม้มีผู้เสียชีวิต 25 ศพ ว่า แพทย์นิติเวชได้ตรวจสอบศพของผู้ขับขี่รถตู้แล้ว โดยผลจากการตรวจเลือดและเนื้อเยื่อของผู้ขับขี่ ไม่มีแอลกอฮอล์ และไม่มีสารเสพติดเจือปนอยู่
ส่วนการส่งมอบศพผู้เสียชีวิตให้ทางญาตินั้น ก่อนหน้านี้ทางสถาบันนิติเวชวิทยาได้ส่งศพคืนให้ญาติแล้ว 11 ราย โดยจะคืนศพให้ญาติเพิ่มเติมอีก 8 ราย และอีก 3 ราย อยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์และรอญาติเข้ามาติดต่อรับศพ คาดว่าทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในช่วงค่ำ (4ม.ค.) พร้อมเร่งตรวจสอบสาเหตุการตาย และรอผลสรุปผลทางห้องปฏิบัติการอีกครั้งว่าจะเกิดจากการขาดอากาศหายใจ หรืออุบัติเหตุไฟไหม้
** 6วันยึดรถจากดื่มแล้วขับ4,208คัน
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. กล่าวถึงมาตรการลดอุบัติเหตุ“ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” ว่าในวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา ตรวจพบผู้กระทำผิดในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์ พบการกระทำความผิด 14,143 ครั้ง จนท.ยึดรถจักรยานยนต์ไว้ 458 คัน และส่งผู้กระทำความผิดดำเนินคดี 7,370 คน สำหรับรถโดยสารสาธารณะ และรถยนต์ส่วนบุคคล พบการกระทำความผิด 10,536 ครั้ง ยึดใบขับขี่ไว้ 562 คน ยึดรถยนต์ 132 คัน ส่งผู้กระทำความผิดดำเนินคดี 3,924 คน
ทั้งนี้ ตลอด 6 วัน ที่ผ่านมา ( 29 ธ.ค.59-3 ม.ค.60 ) เจ้าหน้าที่ ได้ยึดรถที่ฝ่าฝืนมาตรการดื่มไม่ขับไว้แล้ว จำนวน 4,208 คัน (เป็นรถจักรยานยนต์ 2,965 คัน และรถยนต์ 1,243 คัน) และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในส่วนรถจักรยานยนต์ 38,168 คน รถโดยสารสาธารณะ/รถยนต์ส่วนบุคล 20,889 คน
อย่างไรก็ตาม จากสถิติใน 6 วันพบว่า แม้เจ้าหน้าที่จะเข้มงวดในมาตรการ ลดอุบัติเหตุ แต่ยังคงมีผู้ขับขี่บางส่วนที่มีความประมาท ขับขี่ในสภาพที่ไม่พร้อม จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ และเกิดการสูญเสียขึ้น ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปสู่การพิจารณาแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
**เล็งเพิ่มกม.สอบใบขับขี่ยากขึ้น
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาว่า ไม่อยากให้มองที่จำนวนตัวเลขเท่านั้น เพราะมีหลายปัจจัยประกอบ ทั้งจำนวนปริมาณการใช้รถที่มากขึ้น และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับรถ แม้เจ้าหน้าที่จะตั้งจุดตรวจ และจับกุมยึดรถได้มากกว่าทุกปี แต่หากคนยังไม่ตระหนักถึงอันตรายจากการเมาสุราแล้วขับ หรือขับรถอย่างมีวินัย เคารพกฎจราจร ก็ไม่สามารถทำให้ความสูญเสียลดลงได้ โดยสถิติครึ่งหนึ่งของอุบัติเหตุ เกิดขึ้นมาจากการเมาแล้วขับ ดังนั้นตนเองเห็นว่าควรจะต้องเพิ่มบทลงโทษในกฎหมาย และเพิ่มกฎระเบียบในการได้มาซึ่งใบขับขี่ยากขึ้น ซึ่งทั้งหมดต้องไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้มองแค่ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในช่วงเทศกาลที่สูงขึ้นเท่านั้น เพราะหากเปรียบเทียบกับยอดอุบัติเหตุในช่วงปกติ ที่มีผู้ใช้รถใช้ถนนน้อยกว่าเหมือนช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็พบว่ามีผู้เสียชีวิต 30-40 คนต่อวัน ขณะที่ช่วงเทศกาลเฉลี่ยอยู่ที่ 50 คนต่อวัน