ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงประทับเรือที่นั่งเยี่ยมและประทานความช่วยเหลือแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยพื้นที่อำเภอกระแสสินธุ์ "บิ๊กป้อม"เผย"ในหลวง ร.10 ทรงห่วงใยราษฎรน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมสั่งทหารเข้าดูแลช่วยเหลือเต็มที่่ ชาวสวนส้มโอทับทิมสยามปากพนัง จี้รัฐเร่งระบายน้ำ หวั่นหลายสวนถึงขั้นล่มสลายหลังน้ำที่ท่วมขัง ส่วนตรังยังจมอีก 8 ตำบลใน 2 อำเภอ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.56 น.วานนี้ (11 ธ.ค.59) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปยังหมู่บ้านเชิงแส ต.เชิงแส อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา ประทับเรือที่นั่งเยี่ยมและประทานความช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำล้นตลิ่งจากฝนตกหนักตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.จนถึงปัจจุบัน
ในการนี้ประทานถุงยังชีพของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย แก่ราษฎรที่มีบ้านอยู่ในพื้นที่ที่น้ำท่วมขังริมคลองเชิงแส จำนวน 20 ครัวเรือน ซึ่งทั้งหมดไม่สามารถใช้รถสัญจรไปมาได้ ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านได้รับความเสียหายบางส่วนและพื้นที่การเกษตร ไร่นา สวนปาล์ม บ่อเลี้ยงกบ และกระชังเลี้ยงปลา ได้รับความเสียหายทั้งหมด พร้อมมีพระปฏิสันถารกับราษฎรถึงความเสียหายและความเดือดร้อนจากอุทกภัยในครั้งนี้ และประทานกำลังใจ คำแนะนำในการปฏิบัติตัวแก่ผู้สูงอายุที่ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวและบางราย อาศัยอยู่เพียงลำพัง ยังความปลาบปลื้มใจแก่ราษฎรเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นเสด็จไปยังอาคารสำนักปฏิบัติธรรมวัดเอก ต.เชิงแส ทรงถวายถุงยังชีพแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ประสบอุทกภัยจำนวน 25 รูป ประทานถุงยังชีพและข้าวไรซ์เบอรี่แก่หญิงตั้งครรภ์จำนวน 9 ราย ซึ่งข้าวไรซ์เบอรี่เป็นข้าวที่มีคุณประโยชน์สูง ช่วยทำให้เด็กในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง ป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ช่วยควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดครรภ์เป็นพิษ และยังมีธาตุเหล็กสูงเหมาะกับสตรีที่กำลังมีครรภ์ ซึ่งต้องการแร่ธาตุชนิดนี้มากกว่าคนปกติ พร้อมกันนี้ ประทานถุงยังชีพแก่ตัวแทนราษฎรหมู่ที่ 1 ถึงหมู่ที่ 4 ต.เชิงแส ที่ได้รับความเดือนร้อนจากเหตุอุทกภัยจำนวน 580 ครัวเรือน เพื่อเป็นการประทานความช่วยเหลือในเบื้องต้น ทั้งยังเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ราษฎรอีกด้วย
ต่อจากนั้นทรงเยี่ยมราษฎรและหน่วยแพทย์ที่โปรดให้ไปตรวจรักษา ซึ่งมีราษฎรมารับบริการจำนวน 58 คน ส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคผิวหนัง เวียนศรีษะ และโรคระบบทางเดินหายใจ
ขณะที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงโปรดมอบให้ พ.อ.เสกศิลป์ แสงศร เป็นผู้แทนพระองค์ในการมอบถุงยังชีพพระราชทานแก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 11 ตำบลของ อ.สทิงพระ จ.สงขลา จำนวน 1,000 ชุด ณ ที่ศาลาประชาคม ที่ว่าการอำเภอสทิงพระ โดยนายอนุรัฐ ไทยตรง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ อ.สทิงพระ รู้สึกสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีความห่วงใยผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.สงขลา และได้นำถุงยังชีพของพระองค์มอบให้แก่ราษฎรเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมทางภาคใต้ว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพลงพื้นที่ไปติดตามเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมและไม่มีที่อยู่ที่อาศัยแล้ว และหลังน้ำลดก็จะทำการฟื้นฟูพื้นที่ต่อไป ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร เพราะพยายามช่วยเต็มที่ และวันนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และทุกพระองค์ ทรงช่วยเหลือประชาชน เพราะทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์ท่าน
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด พบว่า หลายพื้นที่ในจังหวัดภาคใต้ ปริมาณน้ำได้ลดลงจนเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ยังคงมีบางพื้นที่เท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยที่ จ.ตรัง ส่วนใหญ่เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ยกเว้น 2 อำเภอ รวม 8 ตำบล ประกอบด้วย ต.บางรัก นาท่ามใต้ นาท่ามหนือ หนองตรุด นาโต๊ะหมิง นาตาล่วง อ.เมืองตรัง รวมทั้ง ต.ควนธานี โคกยาง ย่านซื่อ อ.กันตัง ซึ่งต่างได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลหนุน ทำให้ระดับน้ำยังทรงตัว โดยเฉพาะหมู่ที่ 5 ต.บางรัก อ.เมืองตรัง ระดับน้ำยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านกว่า 100 หลังคาเรือนต้องอพยพไปอยู่ภายในวัดแจ้ง และยังมีข้าวของเครื่องใช้ที่ขนย้ายหนีน้ำไม่ทัน ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น ยังมีน้ำจากบ่อบำบัดน้ำเสียและจากกองขยะสำนักงานเทศบาลนครตรัง ไหลลงมาท่วมบ้านเรือนด้วย ทำให้น้ำนิ่งและเริ่มส่งกลิ่นเหม็น เนื่องจากมีน้ำท่วมขังมายาวนานตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนที่วัดประสิทธิชัย และโรงเรียนเทศบาล 7 วัดประสิทธิชัย ในเขตเทศบาลนครตรัง ยังคงมีน้ำท่วมสูงตั้งแต่ 10-40 ซม. โดยโรงเรียนเทศบาล 7 วัดประสิทธิชัยยังต้องปิดการเรียนการสอนต่อไปอีก 1-2 วัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ต้องปิดมาแล้วตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วน จ.นครศรีธรรมราช ยังคงได้รับผลกระทบหนักอยู่ คือ สวนส้มโอทับทิมสยามในท้องที่ ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกส้มโอทับทิมสยามเพียงแห่งเดียวของประเทศไทย และสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศจนสร้างรายได้นับพันล้านบาทต่อปี ขณะนี้สวนส้มโอทับทิมสยามของชาวสวนส้มโอหลายแปลงยังอยู่ในสภาพจมน้ำมากว่า 10 วัน และอยู่ในขั้นค่อยๆ ทยอยยืนต้นตาย
โดยชาวสวนส้มโอหลายคนต่างเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เร่งหาวิธีการระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด เนื่องจากหลายสวนกำลังถึงขั้นล่มสลาย เนื่องจากการยืนต้นตายจากการแช่น้ำท่วมขังมาเป็นเวลานาน โดยเรียกร้องให้กระจายความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การระบายน้ำให้ทั่วถึงในพื้นที่ เนื่องจากที่ผ่านมาการช่วยเหลือจะไปกระจุกตัวอยู่ที่บางสวน ที่มีผู้บริหารระดับสูงไปเยี่ยมและสั่งการ ในขณะที่สวนชาวบ้านรายย่อยนั้นขาดการเข้าช่วยกอบกู้วิกฤตอย่างทั่วถึงและขอให้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จริงจัง อย่าไปกระจุกยังจุดใดจุดหนึ่ง ขณะที่ชาวสวนพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการหาเครื่องสูบน้ำลงพื้นที่ด้วย แต่มีกำลังน้อย และยังไม่เพียงพอ
ด้านนายกรณรมย์ วรรณกุล ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาปากพนังล่าง ระบุถึงการระดมหน่วยงานสังกัดกรมชลประทาน นำอุปกรณ์ และเครื่องกลหนักเพื่อเร่งระบายน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังลงสู่ทะเลอ่าวไทยว่า น้ำที่ท่วมขังได้ลดระดับลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในย่านสวนส้มโอทับทิมสยามในพื้นที่ ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.56 น.วานนี้ (11 ธ.ค.59) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปยังหมู่บ้านเชิงแส ต.เชิงแส อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา ประทับเรือที่นั่งเยี่ยมและประทานความช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำล้นตลิ่งจากฝนตกหนักตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.จนถึงปัจจุบัน
ในการนี้ประทานถุงยังชีพของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย แก่ราษฎรที่มีบ้านอยู่ในพื้นที่ที่น้ำท่วมขังริมคลองเชิงแส จำนวน 20 ครัวเรือน ซึ่งทั้งหมดไม่สามารถใช้รถสัญจรไปมาได้ ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านได้รับความเสียหายบางส่วนและพื้นที่การเกษตร ไร่นา สวนปาล์ม บ่อเลี้ยงกบ และกระชังเลี้ยงปลา ได้รับความเสียหายทั้งหมด พร้อมมีพระปฏิสันถารกับราษฎรถึงความเสียหายและความเดือดร้อนจากอุทกภัยในครั้งนี้ และประทานกำลังใจ คำแนะนำในการปฏิบัติตัวแก่ผู้สูงอายุที่ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวและบางราย อาศัยอยู่เพียงลำพัง ยังความปลาบปลื้มใจแก่ราษฎรเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นเสด็จไปยังอาคารสำนักปฏิบัติธรรมวัดเอก ต.เชิงแส ทรงถวายถุงยังชีพแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ประสบอุทกภัยจำนวน 25 รูป ประทานถุงยังชีพและข้าวไรซ์เบอรี่แก่หญิงตั้งครรภ์จำนวน 9 ราย ซึ่งข้าวไรซ์เบอรี่เป็นข้าวที่มีคุณประโยชน์สูง ช่วยทำให้เด็กในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง ป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ช่วยควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดครรภ์เป็นพิษ และยังมีธาตุเหล็กสูงเหมาะกับสตรีที่กำลังมีครรภ์ ซึ่งต้องการแร่ธาตุชนิดนี้มากกว่าคนปกติ พร้อมกันนี้ ประทานถุงยังชีพแก่ตัวแทนราษฎรหมู่ที่ 1 ถึงหมู่ที่ 4 ต.เชิงแส ที่ได้รับความเดือนร้อนจากเหตุอุทกภัยจำนวน 580 ครัวเรือน เพื่อเป็นการประทานความช่วยเหลือในเบื้องต้น ทั้งยังเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ราษฎรอีกด้วย
ต่อจากนั้นทรงเยี่ยมราษฎรและหน่วยแพทย์ที่โปรดให้ไปตรวจรักษา ซึ่งมีราษฎรมารับบริการจำนวน 58 คน ส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคผิวหนัง เวียนศรีษะ และโรคระบบทางเดินหายใจ
ขณะที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงโปรดมอบให้ พ.อ.เสกศิลป์ แสงศร เป็นผู้แทนพระองค์ในการมอบถุงยังชีพพระราชทานแก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 11 ตำบลของ อ.สทิงพระ จ.สงขลา จำนวน 1,000 ชุด ณ ที่ศาลาประชาคม ที่ว่าการอำเภอสทิงพระ โดยนายอนุรัฐ ไทยตรง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ อ.สทิงพระ รู้สึกสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีความห่วงใยผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.สงขลา และได้นำถุงยังชีพของพระองค์มอบให้แก่ราษฎรเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมทางภาคใต้ว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพลงพื้นที่ไปติดตามเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมและไม่มีที่อยู่ที่อาศัยแล้ว และหลังน้ำลดก็จะทำการฟื้นฟูพื้นที่ต่อไป ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร เพราะพยายามช่วยเต็มที่ และวันนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และทุกพระองค์ ทรงช่วยเหลือประชาชน เพราะทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์ท่าน
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด พบว่า หลายพื้นที่ในจังหวัดภาคใต้ ปริมาณน้ำได้ลดลงจนเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ยังคงมีบางพื้นที่เท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยที่ จ.ตรัง ส่วนใหญ่เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ยกเว้น 2 อำเภอ รวม 8 ตำบล ประกอบด้วย ต.บางรัก นาท่ามใต้ นาท่ามหนือ หนองตรุด นาโต๊ะหมิง นาตาล่วง อ.เมืองตรัง รวมทั้ง ต.ควนธานี โคกยาง ย่านซื่อ อ.กันตัง ซึ่งต่างได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลหนุน ทำให้ระดับน้ำยังทรงตัว โดยเฉพาะหมู่ที่ 5 ต.บางรัก อ.เมืองตรัง ระดับน้ำยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านกว่า 100 หลังคาเรือนต้องอพยพไปอยู่ภายในวัดแจ้ง และยังมีข้าวของเครื่องใช้ที่ขนย้ายหนีน้ำไม่ทัน ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น ยังมีน้ำจากบ่อบำบัดน้ำเสียและจากกองขยะสำนักงานเทศบาลนครตรัง ไหลลงมาท่วมบ้านเรือนด้วย ทำให้น้ำนิ่งและเริ่มส่งกลิ่นเหม็น เนื่องจากมีน้ำท่วมขังมายาวนานตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนที่วัดประสิทธิชัย และโรงเรียนเทศบาล 7 วัดประสิทธิชัย ในเขตเทศบาลนครตรัง ยังคงมีน้ำท่วมสูงตั้งแต่ 10-40 ซม. โดยโรงเรียนเทศบาล 7 วัดประสิทธิชัยยังต้องปิดการเรียนการสอนต่อไปอีก 1-2 วัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ต้องปิดมาแล้วตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วน จ.นครศรีธรรมราช ยังคงได้รับผลกระทบหนักอยู่ คือ สวนส้มโอทับทิมสยามในท้องที่ ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกส้มโอทับทิมสยามเพียงแห่งเดียวของประเทศไทย และสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศจนสร้างรายได้นับพันล้านบาทต่อปี ขณะนี้สวนส้มโอทับทิมสยามของชาวสวนส้มโอหลายแปลงยังอยู่ในสภาพจมน้ำมากว่า 10 วัน และอยู่ในขั้นค่อยๆ ทยอยยืนต้นตาย
โดยชาวสวนส้มโอหลายคนต่างเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เร่งหาวิธีการระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด เนื่องจากหลายสวนกำลังถึงขั้นล่มสลาย เนื่องจากการยืนต้นตายจากการแช่น้ำท่วมขังมาเป็นเวลานาน โดยเรียกร้องให้กระจายความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การระบายน้ำให้ทั่วถึงในพื้นที่ เนื่องจากที่ผ่านมาการช่วยเหลือจะไปกระจุกตัวอยู่ที่บางสวน ที่มีผู้บริหารระดับสูงไปเยี่ยมและสั่งการ ในขณะที่สวนชาวบ้านรายย่อยนั้นขาดการเข้าช่วยกอบกู้วิกฤตอย่างทั่วถึงและขอให้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จริงจัง อย่าไปกระจุกยังจุดใดจุดหนึ่ง ขณะที่ชาวสวนพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการหาเครื่องสูบน้ำลงพื้นที่ด้วย แต่มีกำลังน้อย และยังไม่เพียงพอ
ด้านนายกรณรมย์ วรรณกุล ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาปากพนังล่าง ระบุถึงการระดมหน่วยงานสังกัดกรมชลประทาน นำอุปกรณ์ และเครื่องกลหนักเพื่อเร่งระบายน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังลงสู่ทะเลอ่าวไทยว่า น้ำที่ท่วมขังได้ลดระดับลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในย่านสวนส้มโอทับทิมสยามในพื้นที่ ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง