วานนี้ (28 พ.ย.) น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์น่าสลด เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 59 ที่ผ่านมา มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงชาวบ้านที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ปรากฏว่า เป็นผู้หญิงที่ถูกทำร้ายทั้ง 2 คน จนเสียชีวิต หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ 9 เดือน ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอประณามการกระทำดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพสิทธิในชีวิตและร่างกายของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งจะนำพาให้เกิดความสงบสุขและสันติสุขในประเทศไทย
ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และถือเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อชีวิตร่างกายของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เปราะบางในสังคม ดังนั้นกรมคุ้มครองสิทธิฯ ในฐานะหน่วยงานหลักของภาครัฐที่รับผิดชอบงานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย มีหน้าที่สำคัญในการคุ้มครองสิทธิของประชาชน ตามที่ได้รับการรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง, อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ โดยขอยืนยันในพันธกรณีของประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีสนธิสัญญาฯ ดังกล่าวว่า จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการปกป้อง คุ้มครอง และป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งที่ผ่านมา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้มีความพยายามในการเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนให้กับทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง สนับสนุนการปรับแก้กฎหมาย กฎ ระเบียบ และนโยบายต่างๆ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพมีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
นอกจากนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าว ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นอย่างยิ่ง จึงขอให้ประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ รวมทั้งเหตุการณ์อื่นๆ ที่มีคนร้ายก่อเหตุเข้าร่วมมาเป็นพยาน ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย นำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และขอให้ประชาชนที่จะเข้ามาเป็นพยานมีความเชื่อมั่นในกระบวนการคุ้มครองพยาน ว่าจะได้รับความปลอดภัยจากการดูแลจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยให้ประชาชนที่จะเข้ามาเป็นพยานสามารถติดต่อขอเป็นพยานได้ ที่ศูนย์ประสานงานคุ้มครองพยานที่จัดตั้งขึ้นทั้ง 31 แห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จ.สงขลา ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส รวมทั้งหน่วยงานฝ่ายปกครอง ได้แก่ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการปกครองจังหวัด และหน่วยทหารในพื้นที่ รวมถึงหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม สถานีตำรวจ สำนักงานยุติธรรมจังหวัด สำนักงานคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ภาค 4 (จ.สงขลา) และศูนย์ดำรงธรรม หรือที่สายด่วนคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 1111 กด 77
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ทางกองทัพภาคที่ 4 ได้ประณามผู้ก่อเหตุว่าไม่น่าทำเรื่องแบบนี้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พยายามป้องกันการสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์ และต้องการประกอบอาชีพ แต่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ทั้งนี้ ตนเน้นย้ำกับ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) ให้ร่วมมือกัน ดูแลพื้นที่ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย ซึ่งที่ผ่านมาก็สามารถป้องกันได้หลายเหตุ อาทิ รถคาร์บอมม์ทึ่จะขึ้นมาก่อเหตุในกทม. อย่างไรก็ตามแนวทางดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทหาร และตำรวจในการป้องกันเหตุร้าย
ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และถือเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อชีวิตร่างกายของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เปราะบางในสังคม ดังนั้นกรมคุ้มครองสิทธิฯ ในฐานะหน่วยงานหลักของภาครัฐที่รับผิดชอบงานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย มีหน้าที่สำคัญในการคุ้มครองสิทธิของประชาชน ตามที่ได้รับการรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง, อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ โดยขอยืนยันในพันธกรณีของประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีสนธิสัญญาฯ ดังกล่าวว่า จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการปกป้อง คุ้มครอง และป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งที่ผ่านมา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้มีความพยายามในการเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนให้กับทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง สนับสนุนการปรับแก้กฎหมาย กฎ ระเบียบ และนโยบายต่างๆ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพมีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
นอกจากนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าว ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นอย่างยิ่ง จึงขอให้ประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ รวมทั้งเหตุการณ์อื่นๆ ที่มีคนร้ายก่อเหตุเข้าร่วมมาเป็นพยาน ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย นำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และขอให้ประชาชนที่จะเข้ามาเป็นพยานมีความเชื่อมั่นในกระบวนการคุ้มครองพยาน ว่าจะได้รับความปลอดภัยจากการดูแลจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยให้ประชาชนที่จะเข้ามาเป็นพยานสามารถติดต่อขอเป็นพยานได้ ที่ศูนย์ประสานงานคุ้มครองพยานที่จัดตั้งขึ้นทั้ง 31 แห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จ.สงขลา ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส รวมทั้งหน่วยงานฝ่ายปกครอง ได้แก่ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการปกครองจังหวัด และหน่วยทหารในพื้นที่ รวมถึงหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม สถานีตำรวจ สำนักงานยุติธรรมจังหวัด สำนักงานคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ภาค 4 (จ.สงขลา) และศูนย์ดำรงธรรม หรือที่สายด่วนคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ 1111 กด 77
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ทางกองทัพภาคที่ 4 ได้ประณามผู้ก่อเหตุว่าไม่น่าทำเรื่องแบบนี้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พยายามป้องกันการสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์ และต้องการประกอบอาชีพ แต่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ทั้งนี้ ตนเน้นย้ำกับ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) ให้ร่วมมือกัน ดูแลพื้นที่ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย ซึ่งที่ผ่านมาก็สามารถป้องกันได้หลายเหตุ อาทิ รถคาร์บอมม์ทึ่จะขึ้นมาก่อเหตุในกทม. อย่างไรก็ตามแนวทางดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทหาร และตำรวจในการป้องกันเหตุร้าย
