ที่มา : ภาพจาก www.tddf.or.th/news/detail.php?contentid=0069&postid=0007559¤tpage=6
ผมจำได้ว่า เคยชอบคำพูดของกวีซีไรต์และศิลปินแห่งชาติ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่ออกรายการทีวีรายการอะไรนึกไม่ออกแล้ว ท่านเนาวรัตน์พูดถึงความขัดแย้งของสังคมไทยในขณะนั้นว่า เกิดจากปัญหาหลักคือการมองประชาธิปไตยที่ไม่ตรงกัน ท่านอรรถาธิบายว่าท่านยึดตามคำนิยามของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่เคยบอกว่า “ประชาธิปไตยคือประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่” เพราะถ้าประชาชนเป็นใหญ่แล้วเป็นโจร ก็เท่ากับขัดขวางหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง
ผมจำได้ว่าท่านพุทธทาสมีคำอธิบายต่อท้ายว่า โดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน ถ้าประชาชนบ้าบอเห็นแก่ตัวก็ฉิบหายหมด
ผมจึงเห็นด้วยกับท่านเนาวรัตน์ ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม และเห็นว่าปัจจุบันปัญหาหลักของสังคมไทยที่ทำให้คนไทยแตกแยกแบ่งฝ่ายก็ยังดำรงอยู่ไม่คลี่คลาย ฝ่ายที่อ้างว่าต่อสู้เพื่อปกปักรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก็ยังคงยืนหยัดแนวความคิดว่าประชาธิปไตยคือประชาชนต้องเป็นใหญ่แบบที่ว่า “เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
เขายืนยันว่าต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่จากการเลือกตั้ง โดยไม่คำนึงถึงว่าการเลือกตั้งไม่ได้มาจากการเลือกอย่างอิสระเสรีของประชาชน หากแต่มาจากการฉ้อฉลซื้อสิทธิขายเสียงมอมเมาเอาชนะการเลือกตั้งด้วยเล่ห์กลหลากหลายวิธีการ เพื่อให้ได้มาซึ่งจำนวนเสียงข้างมากเพื่อครอบครองอำนาจรัฐ แล้วก็ใช้อำนาจฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามหลักการ “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” แต่อย่างใดเลย
และที่ฝ่ายยึดหลักว่าประชาธิปไตยคือประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ก็รับไม่ได้กับการต่อสู้ของอีกฝ่ายที่เชิดชูยกย่องคนคดโกงอย่างทักษิณ ชินวัตร เปิดเผยเชิดหน้าชูตา แกนนำคนเสื้อแดงหลายต่อหลายคนที่ไม่เคยประกอบอาชีพอื่นใดเลยก็ร่ำรวยเอาอย่างผิดธรรมชาติ
ก็น่าแปลกที่เหล่านักคิด นักเขียน นักวิชาการส่วนหนึ่ง ยังหลงใหลได้ปลื้มกับแนวคิดและวิธีการประชาธิปไตยแบบเฉไฉเยี่ยงนั้นได้ โดยไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนกับแกนนำมือปืนรับจ้างที่รับใช้นักโทษหนีคดีอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
ผมเคยได้ฟังนักคิด นักเขียนบางคนที่เคยชื่นชอบในผลงานเขียนของเขา มาพูดทางทีวีแบบเอียงเข้าข้างทักษิณ และขบวนการเสื้อแดงอย่างเต็มเปี่ยม โดยเขาเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าขบวนการทางประชาธิปไตย หลักคิดของเขาคือต่อต้านเผด็จการทหารที่มาล้มล้างอำนาจฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้ง และเมื่อพิธีกรถามถึงเรื่องทุนสามานย์ในระบอบประชาธิปไตย เขาก็จะหลบเลี่ยงในทำนองว่า
ทุนแบบทักษิณเป็นแค่ทุนเล็กๆ เทียบไม่ได้กับทุนใหญ่มหึมาที่ครอบคลุมสังคมไทยมาโดยตลอด โดยพยายามพูดเป็นนัยให้คนฟังคล้อยตามว่าหมายถึงทุนอะไร
นี่ก็เป็นเรื่องแปลก ที่เขาพยายามพูดผูกโยงว่าสถาบันอยู่เบื้องหลังการเมืองฝ่ายทหารมาทุกยุคสมัย และสถาบันขัดขวางขบวนการประชาธิปไตยเพราะกลัวสูญเสียอำนาจ ซึ่งประเด็นนี้ก็อยากให้สาธุชนคนไทยทั่วไปได้ไตร่ตรองด้วยสติปัญญาเถิดว่า ตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์ พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ทรงเคยขัดขวางต่อหลักการ “ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” ในประการใดบ้างหรือไม่ นอกจากจะทรงบำเพ็ญตน อุทิศความสุขส่วนพระองค์ ด้วยการถือแผนที่และสะพายกล้องถ่ายรูปไปตามพื้นที่ทุรกันดารทั่วประเทศกรำแดดกรำฝนกรำลมหนาว โดยตลอด 60 ปีไม่เคยออกนอกประเทศไทยใช้งบหลวงไปทัศนศึกษาฟู่ฟ่าเฉกเช่นบรรดาข้าราชการ และนักการเมืองทั้งหลายที่ทำกันเป็นปกติวิสัยเลย ทรงมุ่งมั่นทำทุกสิ่งเพื่อประโยชน์สุขของชาวสยาม ตามคำประกาศในวันขึ้นครองราชย์ว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
และตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์ ผมก็อยากจะถามนักคิด นักเขียน และนักวิชาการที่อ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยทุกคนว่า
พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ เคยประพฤติผิดจากคำประกาศของพระองค์ท่านประการใดบ้างหรือไม่อย่างไร? ผมเห็นตรงกับท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ว่าเพราะเราต่างนิยามคำว่า ประชาธิปไตยไม่ตรงกันต่างหากเล่า จึงก่อให้เกิดแนวคิดแปลกแยกแตกต่างกันจนเกิดเป็นชนวนความขัดแย้งในสังคมไทย ยากที่จะเยียวยาประสานจนกว่าทุกฝ่ายจะยอมรับนิยามประชาธิปไตยให้ตรงกัน โดยยึดตามหลักธรรมที่อาจารย์พุทธทาสภิกขุ นิยามไว้ชัดแจ้งนั่นแหละว่า
“ประชาธิปไตย คือประโยชน์สุขของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่” แล้วมาร่วมมือกันขจัดสิ่งที่ขัดขวางประโยชน์สุขของประชาชนให้หมดสิ้นไป อย่างนี้ต่างหากเล่าจึงจะเป็นการ “ปรองดอง” อย่างแท้จริง นะพี่น้องเอ้ย...
“ครองแผ่นดินโดยธรรม”
พ่อไม่คิด อยากมา เป็นกษัตริย์
แต่ขืนขัด ไม่ได้ ก็ไม่ขืน
เมื่อต้องเป็น ก็เป็นไป ไม่กล้ำกลืน
พ่อหยัดยืน เป็นกษัตริย์ อย่างชัดเจน
“ครองแผ่นดินโดยธรรม” คือคำมั่น
พ่อตรำตราก บากบั่น ให้ได้เห็น
ที่ใดร้อน ดับร้อน ผ่อนให้เย็น
ที่เหน็บหนาว ลำเค็ญ ดับหนาวคลาย
ภาพพ่อ ถือแผนที่ ไปทุกที่
ชี้แนะ ด้วยวิธี ที่เรียบง่าย
พออยู่ พอกิน เพียงพอสบาย
พระราชดำริ เรียงราย เอื้อผองชน
เจ็ดสิบปี ที่ครองราชย์ อย่างอาจหาญ
หนทาง ทุรกันดาร พ่อดั้นด้น
ทุ่มเท อุทิศ อย่างอดทน
ประโยชน์ เพื่อปวงชน ของพระองค์
ยกตัวอย่าง งานเดียว ที่เคี่ยวกรำ
คือ “ต้นฝิ่น” พืชทองดำ ชาวเขาหลง
เป็นวิถี ชีวิต ที่ดำรง
ทุกเทือกเขา ป่าดง ดอกฝิ่นบาน
ทรงวิริยะ อุตสาหะ สอนชาวเขา
ปลูกพืชอื่น แทนรากเหง้า เคยขับขาน
เลิกปลูกฝิ่น แพร่พิษ เสพติดนาน
หลายสิบปี พ้นผ่าน ยากนานนัก
จนบัดนี้ ไม่มีฝิ่น ทุกเทือกเขา
ทั้งชาวเขา ชาวเรา ย่อมตระหนัก
คือผลงาน พระองค์ท่าน หว่านความรัก
ด้วยน้ำพัก น้ำแรง กษัตริย์ไทย
กษัตริย์ที่ แทบไม่มี วันหยุดพัก
ทรงงานหนัก พระเสโท เปียกปอนไหล
เจ็ดสิบปี ไม่ออกนอก ประเทศไทย
โครงการหลวง น้อยใหญ่ เอื้อปวงชน
คนไทย จึงรักพ่อ ผู้เป็นพ่อ
รักพ่อ ผู้เพียงพอ เหตุและผล
รักพ่อ ผู้อุทิศ ผู้ทานทน
พ่อคือพ่อ ของผู้คน ทั้งธานินทร์
พ่อไม่คิด อยากมา เป็นกษัตริย์
แต่ต้องเป็น ก็ตั้งสัตย์ โดยสัตย์สิ้น
ลั่นวาจา จากใจ ให้ได้ยิน
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม”
ว.แหวนลงยา