xs
xsm
sm
md
lg

บก.ลิปส์วืดมรดก300ล. ศาลสั่งโมฆะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน360-ศาลฎีกาพิพากษาพินัยกรรมมรดกตระกูล ณ ป้อมเพชร โอนให้ “ศักดิ์ชัย กาย” บก.นิตยสารลิปส์ ประกอบด้วยที่ดินย่านยานนาวา 3 ไร่ และคอนโดมิเนียม ที่จ.ชลบุรี จำนวน 300 ล้านบาท เป็นโมฆะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2559 ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ 2942/2550 ที่ นายธีรวัต ณ ป้อมเพชร อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ ม.จุฬาลงกรณ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศักดิ์ชัย กาย บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร ลิปส์ เป็นจำเลย เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนทำลายพินัยกรรม ที่นายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร ซึ่งเป็นบิดา ได้ยกทรัพย์ ได้แก่ ที่ดินจำนวน 3 ไร่ แขวงทุ่งวัดดอน เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดเลขที่ 3 จี คอนโดมิเนียมการ์เด้นคลิฟ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ให้แก่จำเลย

คดีนี้ โจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2548 นายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร บิดาโจทก์ อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ ถูกจำเลยกับพวกได้ร่วมกันทําหนังสือฉบับหนึ่ง ระบุว่า เป็นพินัยกรรม มีข้อความว่า นายวิวรรธน์ มีคำสั่งให้ยกเลิกพินัยกรรมเดิมของนายวิวรรธน์ ที่ทํามาก่อนหน้านี้ และต้องการยกทรัพย์สิน คือ ที่ดิน 3 ไร่ ย่านยานนาวา พร้อมอาคารและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งห้องชุดเลขที่ 3 จี คอนโดมิเนียมการ์เด้น คลิฟ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ให้แก่จำเลย

ต่อมาในวันที่ 16 ก.ย.2549 นายวิสูตร กาญจนปัญญาพงศ์ พยานผู้ลงลายมือชื่อในพินัยกรรม ได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ดำเนินการขอรับพินัยกรรมจากสำนักงานเขตราชเทวี เพื่อดำเนินการตามข้อกำหนดในพินัยกรรม ทั้งที่โจทก์และทายาท รวมทั้งญาติพี่น้องของนายวิวรรธน์ ไม่มีใครทราบมาก่อนว่านายวิวรรธน์ ได้ทําพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้น รวมทั้งไม่มีใครรู้จักนายสุทิน โชติสิงห์ และ น.ส.ศจีมาศ อภิชโยดม นายวิสูตร กาญจนปัญญาพงศ์ ซึ่งลงชื่อเป็นพยาน และผู้พิมพ์ ตลอดจนสำนักกฎหมายธรรมนิติ ทั้งที่พินัยกรรมฉบับนี้ ไม่ใช่พินัยกรรมลับ เพราะนายวิวรรธน์ มิได้ผนึกซองพินัยกรรมและลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง แล้วนำซองพินัยกรรมไปแสดงต่อผู้อำนวยการเขตราชเทวี หรือผู้กระทําการแทน

นอกจากนี้ ยังไม่มีแพทย์รับรองว่า นายวิวรรธน์ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ในขณะทําพินัยกรรม ทั้งลักษณะลายมือชื่อของนายวิวรรธน์ในพินัยกรรมก็ไม่ใช่ลายมือที่แท้จริง เชื่อว่านายวิวรรธน์ ไม่มีเจตนาอันแท้จริงจะยกทรัพย์สินให้จำเลย พินัยกรรมดังกล่าวจึงเป็นพินัยกรรมปลอม ไม่มีผลตามกฎหมายการกระทําของจำเลย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นญาติ หรือครอบครัวกับนายวิวรรธน์ หรือตระกูล ณ ป้อมเพชร ทําให้โจทก์กับทายาทได้รับความเสียหาย ไม่สามารถดำเนินการรับทรัพย์มรดกของนายวิวรรธน์ ที่แบ่งให้กับทายาทคนอื่นได้ จึงขอให้ศาลโปรดมีคำสั่งทําลายพินัยกรรมปลอมฉบับดังกล่าวด้วย

ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่าย จากพยานหลักฐานโจทก์ 5 ปาก และพยานจำเลย 6 ปาก ซึ่งนำเข้าสืบหักล้าง และพยานผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบลายมือชื่อแล้ว ฟังได้ว่า พินัยกรรมฉบับดังกล่าวที่นายวิวรรธน์ทำขึ้น ซึ่งเป็นเอกสารลับนั้น เป็นเอกสารที่ถูกต้องแท้จริง พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง

ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า พินัยกรรมของวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร ฉบับลงวันที่ 21 ธ.ค.2548 เป็นโมฆะ

จากนั้น จำเลยยื่นฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าพินัยกรรมที่ทำขึ้นมีพิรุธ โดยได้ความจากนายวิสูตร กาญจนปัญญาพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทสำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด พยานจำเลยว่าปกติในการทำพินัยกรรมจะมีการบันทึกวีดีทัศน์และถ่ายรูป ขณะทำพินัยกรรมไว้ แต่ในขณะที่นายวิวรรธน์ ทำพินัยกรรม ไม่ได้มีการบันทึกวีดีทัศน์หรือถ่ายรูปไว้ ทั้งที่พยานสามารถเตรียมการให้มีการบันทึกวีดีทัศน์และถ่ายรูปไว้ในขณะทำพินัยกรรม แต่กลับไม่ดำเนินการ จึงเป็นพิรุธว่าในวันที่ 21 ธ.ค.2548 ได้มีการทำพินัยกรรมจริงหรือไม่ และลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมยังไม่อาจชี้ชัดว่าเป็นลายมือชื่อของผู้ตายหรือไม่ เมื่อพิจารณาเอกสารอื่นๆ ที่ผู้ตายเคยลงชื่อไว้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับช่วงที่มีการทำพินัยกรรมลายมือชื่อมีลักษณะปรากฏเพียงส่วนของชื่อและชื่อสกุล เขียนสั้นไม่ยาวนัก แต่ปรากฏว่าการลงลายมือชื่อในพินัยกรรมและลายมือชื่อหลังซองบรรจุพินัยกรรม กลับเป็นลายมือชื่อที่เขียนทั้งชื่อและชื่อสกุลที่มีความยาวมากกว่า ตามชื่อและชื่อสกุลว่า “วิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร” ซึ่งแตกต่างออกไปเป็นพิรุธ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าลายมือชื่อ ผู้ทำพินัยกรรม เป็นของผู้ตาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
กำลังโหลดความคิดเห็น