สองศิลปินสาวสุดแนว “วี-วรภาดา วรธนัญชัย ” และ “ปิงปอง-กชกร คุนาลังการ” ผู้ขับเคลื่อนโปรเจค “Is an Artist” ด้วยการใช้ศาสตร์แห่งศิลปะซึ่งเป็นสื่อที่มีพลังในการเยียวยารักษาจิตใจผู้อื่น ผ่านการถ่ายทอดพลังบวกให้แก่เหล่าผู้ป่วยที่บกพร่องทางด้านร่างกายและสุขภาพ รวมถึงผู้ป่วยติดเชื้อให้กลับมามีจิตใจแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง โดยมีเจตนาที่ทำให้ทุกคนเห็นว่าไม่ว่าใครก็สามารถเป็นศิลปินได้ . .
“Is an Artist” ศิลปิน..ใครก็ได้!
ความมีเสน่ห์ของศิลปะนั้นถือว่ามากเกินจะอธิบายได้ มันคือสิ่งที่ช่วยจรรโลงใจของมนุษย์ และขับกล่อมความแข็งกระด้างในส่วนลึกของเราทุกคนให้มีความละเมียดละไมแข็งแรงยิ่งขึ้น การใช้ศิลปะเพื่อการบำบัดจึงเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยเยียวยาความบอบช้ำที่เกิดขึ้นภายใต้จิตใจได้โดยสมบูรณ์
“คุณวี-วรภาดา” ศิลปินสาวผู้ค้นพบว่าศิลปะสามารถช่วยเยียวยาจิตใจเธอได้ในยามที่ความทุกข์เคลื่อนผ่านมาทักทาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจใช้ศิลปะช่วยเหลือผู้อื่น โดยเริ่มจากการเข้าช่วยเหลือในฐานะจิตอาสา หลังก้าวเข้าสู่ถนนแห่งการให้อย่างเต็มตัว
“วีใช้ศิลปะในการช่วยพัฒนาและฟื้นฟูตัวเองก่อน จนไปถึงจุดที่มองเห็นว่ามันน่าจะช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย โชคดีที่ได้ไปร่วมงานกับบ้านคามิลเลียน เป็นบ้านของเด็กพิการซ้ำซ้อน เขาเพิ่งเปิดคลาสใหม่ชื่อว่า “ศิลปะเพื่อการบำบัด”
ตอนแรกขอไปเป็นอาสาสมัครก่อน ปรากฏว่าโชคดีที่เขายกให้ทั้งคลาสก็เลยได้ลองลงฟิลเอง ทำไปอยู่ประมาณ 4-5 เดือน เริ่มรู้สึกว่าเราเห็นพัฒนาการของน้องๆ ชัดขึ้น ในเรื่องของเส้น สี เรื่องการทำงานของความคิดที่มีพัฒนาการมากขึ้น”
ภาพวาดบนกระดาษธรรมดาๆ อาจยังไม่ทำให้ใครหลายคนเข้าใจความหมายของมันสักเท่าไหร่ เธอจึงเกิดไอเดียขึ้นมาว่า หากภาพวาดของน้องๆ เหล่านั้นถูกแปรสภาพไปอยู่ในสิ่งของเครื่องใช้ อาจทำให้เด็กๆ รู้สึกภูมิใจในผลงานของเขาได้ไม่มากก็น้อย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอทาบทามคุณปิงปอง สาวกราฟฟิกดีไซเนอร์เข้ามาร่วมโปรเจกต์นี้ด้วย
“ผลงานที่ออกมาวีรู้สึกว่ามันมีคุณค่าและมีพลังมาก อะไรที่จะเป็นตัวชูต่อไปก็ต้องเป็นเรื่องของการแสดงออกมากกว่า ซึ่งเด็กไทยกับศิลปะค่อนข้างมีความห่างกัน เลยเป็นจุดที่เริ่มทาบทามให้พี่ปิงปอง ซึ่งเป็นดีไซเนอร์เข้ามาช่วยในเรื่องของการทำให้รูปภาพของน้องๆ สามารถเข้าใจหรือให้คนอื่นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยผ่านรูปแบบงานดีไซน์ ผ่านงานวาดของน้องๆ”
“งานมันมีอะไรมากกว่าที่จะพูดถึงว่าเขาเป็นผู้ด้อยโอกาส หรือเป็นผู้พิการ เราอยากให้บุคคลเหล่านี้เป็นเหมือนศิลปินคนหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับในสังคม โดยที่ไม่ได้ยอมรับด้วยความพิการ”
“คุณปิงปอง-กชกร” เปรยขึ้นทำให้เราเข้าใจเป้าหมายของโปรเจกต์ “Is an artist” ที่สื่อความหมายว่าไม่ว่าใครก็ตามสามารถเป็นศิลปินได้ เธอเล่าต่อไปถึงขั้นตอนการนำภาพวาดของน้องๆ เหล่านั้นมาอยู่ในรูปแบบสิ่งของที่จับต้องได้ จึงส่งผลให้คนเข้าถึงมันได้ง่ายขึ้นและรับรู้เรื่องราวต่างๆ ของน้องๆ ผ่านงานศิลปะเหล่านั้น
“ถ้างานศิลปะพวกนี้ถ้าเอามาทำกระเป๋า ผ้าพันคอ สมุด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันสามารถอัปแวลูของงานพวกนี้ได้มากขึ้น มันเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เวลาที่คนเห็นเขาจะอยากรู้ว่าเป็นงานของใคร อยากรู้จักว่าศิลปินคนนี้คือใคร
แต่พอได้รู้ว่าเบื้องหลังเรื่องราวต่างๆ ของงานพวกนี้ มันมีคุณค่ามากกว่าแค่ไปซื้องานสวยๆ งานของศิลปินเก่งๆ ที่โด่งดังระดับโลก มันมีคุณค่ามากกว่านั้นเยอะ กลายเป็นว่าพอเราเอามาต่อยอดตรงนี้ เลยทำให้เด็กๆ หรือคนที่เราช่วยอยู่ เขารู้ว่าพวกนี้มันต่อยอดตัวเขาเองได้ด้วยเหมือนกัน”
เราต่างถูก “เยียวยา”
“ความสุข” ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดมักเกิดจาก “การให้” เสมอ หากใครสักคนพยายามตามหาความสุขโดยไร้จุดหมาย “การให้” อาจเป็นรูปแบบหนึ่งที่ทำให้พบความสุขได้ง่ายดายขึ้น เช่นเดียวกับสองศิลปินสาวผู้พกพาหัวใจเปี่ยมด้วยพลังของการให้ คุณวีเล่าว่ามันคือความสุขในทุกๆ จังหวะที่ได้ก้าวเข้าไป และมันได้สร้างสิ่งไม่น่าเชื่อ ด้วยการเปลี่ยนนิสัยบางอย่างในตัวเธอได้อย่างน่าประหลาดใจ
“มันมีความสุขในทุกขั้นตอนเลย ทุกๆ อย่าง มันเป็นอะไรที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ วีเป็นคนใจร้อนมาก่อน แล้วอยู่ๆ มาทำงานอย่างนี้ มันทำให้เราใจเย็น เป็นคนที่รับฟังคนอื่น ความสุขอีกอย่างหนึ่งคือ การที่ได้เห็นงานของเด็กๆ ถูกแปรรูปไปลงบนอย่างอื่น มีคนมาชม มาชอบมัน เพราะเราไม่ได้ขายความบกพร่อง เราขายงานชิ้นนี้เพราะมันเป็นงานศิลปะ”
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดผ่านสายตาของสองสาวเพื่อนซี้ตลอดบทสนทนาคือ แววตาแห่งความภูมิใจที่แสดงให้เห็นว่าการให้ของพวกเธอคงไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่เพียงแต่เธอเท่านั้นที่ช่วยเยียวยาเด็กๆ เหล่านั้น ในทางกลับกันเธอเองก็ถูกเยียวยาด้วยเช่นกัน
“เหมือนทำให้เรารู้สึกว่าไม่ใช่แค่เราที่บำบัดเขา เขาก็บำบัดเราเหมือนกัน มันเป็นการเติมเต็มกันจริงๆ อย่างเวลาเจอเด็กๆ เราก็มีความสุข ได้เรียนรู้เรื่องราวของพวกเขา มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตเราที่มีอยู่ปัจจุบันนี้มันดีแค่ไหนแล้ว” คุณปิงปองขยายความ
แน่นอนว่าการเข้ามาทำตรงนี้ทำให้สองสาวทั้งสองคนได้เจอกับเด็กๆ ทุกรูปแบบ เราจึงลองให้เธอเล่าให้ฟังถึงเคสที่ประทับใจที่สุด ซึ่งสิ่งที่คุณวีจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ได้สนับสนุนกับคำพูดเพื่อนซี้ที่พูดไปก่อนหน้านั้นว่า ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้นที่เป็นผู้ให้แก่เด็กๆ พวกเขาก็ได้มอบอะไรบางอย่างให้เธอเช่นเดียวกัน
“ประทับใจหมดทุกคนเลยนะจริงๆ แล้ว แต่ถ้าต้องยกมาหนึ่งเคส เป็นน้องคนหนึ่งที่ติดเชื้อ HIV อยู่ในขั้นที่ค่อนข้างหนัก แต่งานของเขามันมีพลังมากเลย ทั้งเส้น สี วิธีการใช้ มีคลาสหนึ่งที่ทำเรื่องความฝัน เขาวาดตัวเขาเองที่แต่งตัวสวยมากและไปออกเดตกับคุณหมีหนึ่งคน
เรามานั่งคิดว่าตรงนี้เราให้เขาไม่ได้ แล้วเราควรจะทำยังไง เราเรียนรู้พลังบวกจากเขา เหมือนเขาสู้มากๆ เราบอกว่าจะช่วยหยิบนู่นหยิบนี่ให้ ทุกครั้งเขาจะปฏิเสธเขาจะทำเองหมดเลย ตรงนี้มันทำให้เรารู้ว่านอกจากที่เราจะช่วยเขา เขาช่วยเราเยอะเหมือนกัน จนรู้สึกว่าเราทิ้งไม่ได้”
ศิลปะ = ยาสามัญประจำบ้าน
“คนไทยจะกลัวคำว่า 'บำบัด' มักจะคิดว่าฉันไม่เห็นเป็นอะไรเลย ทำไมจะต้องบำบัด”
เธอพูดขึ้นหลังจบคำถามในเรื่องมุมมองและความเข้าใจของคนไทยต่อคำว่า “บำบัด” อย่างที่ใครหลายคนมองว่าการบำบัดจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อใครสักคนมีสิ่งไม่ดีหรือสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง ทว่า การบำบัดไม่ได้ดูเลวร้ายเสมอไป นี่คือสิ่งที่พวกเธอกำลังจะอธิบาย
“พูดให้เห็นภาพง่ายๆ มันเหมือนกับการที่เราไปตรวจสุขภาพประจำทุกเดือน ทุกปี มันคือการที่เรามาตรวจสุขภาพจิตใจ ซึ่งเราไม่ค่อยได้ทำกัน เราก็จะมองว่าทำไมฉันต้องบำบัด ฉันบ้าเหรอ มันเป็นมุมมองที่ค่อนข้างผิด เรามีการใช้จิตใจ ใช้ความคิดหรือใช้อะไรไปเยอะมาก มันควรที่จะได้รับการซ่อมแซม บำรุง ดูแล เหมือนร่างกาย”
ฟังดูแล้วคงทำให้เห็นภาพได้บ้าง หรืออาจเจือจางความเชื่อเกี่ยวกับการบำบัดที่ดูร้ายแรงลงไปได้ไม่มากก็น้อย คุณวียังเปรียบเปรยให้เข้าใจอีกว่าศิลปะนั้นคล้ายกับยาสามัญประจำบ้าน นอกจากหยูกยาต่างๆ ที่ช่วยรักษาเราแล้ว การใช้ศิลปะบำบัดยังมีส่วนช่วยเยียวยาจิตใจได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน
“มันเหมือนการเช็กสุขภาพ อยากให้ใช้มันเพื่อเข้าไปตรวจสอบความเป็นตัวเองข้างในว่า เราลืมอะไรไปหรือเปล่า บกพร่องตรงไหนไหม อะไรที่เราเคยลืมมันไป มันกึ่งๆ คล้ายๆ กับการนั่งสมาธิหรือการเข้าไปสำรวจตัวเอง
อีกอย่างหนึ่งคือ ที่อาจารย์วีเขาบอกเสมอว่า มันเหมือนกับเป็นยาสามัญประจำบ้าน ใครจะหยิบมาใช้ก็ได้ เหมือนเราไปบอกเขาว่า นอกจากมียาแดง แอลกอฮอล์ สำลี ปลาสเตอร์ยาแล้ว เรายังมีสิ่งนี้ที่เราหาได้จากต้นไม้ ใบหญ้า มันช่วยได้นะ อยากให้ลองเปิดใจกับมันค่ะ มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว”
อย่างที่เข้าใจกันว่า “Nobody's Perfect” ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นการที่เราค้นพบข้อบกพร่องของตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร สิ่งสำคัญคือมุมมองที่เรามีต่อความบกพร่องนั้นๆ และเปลี่ยนมันเป็นพลังบวกเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนดำเนินชีวิตต่อไปเสียมากกว่า
“ถ้าจะพูดไปมันไม่มีใครเพอร์เฟกต์หรอก มันเป็นเรื่องของการเรียนรู้ที่จะยอมรับด้านลบ และเรียนรู้ว่าอะไรคือด้านบวก ให้มองมันเพื่อเอามาพัฒนามากกว่า”
เรื่อง : พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
Facebook : Is an Artist