เรียนท่านนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช.และผู้ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์
ผมตั้งใจเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงท่านเป็นการเฉพาะ ไม่ว่าอ่านแล้วท่านจะรู้สึกว่าเห็นด้วยหรือโกรธเคืองก็ตามนั่นเป็นสิทธิของท่าน ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะกังวลว่าท่านจะรู้สึกอย่างไร
ผมเห็นด้วยกับหลายคนในประเทศนี้เช่นเดียวกับที่ท่านพูดเสมอมาว่าท่านจำเป็นต้องเข้ามาเพื่อแก้วิกฤตของบ้านเมือง ในวันที่ประเทศไทยเดินทางมาถึงทางตันไร้ทางออก รัฐบาลในขณะนั้นไม่สามารถนำพาประเทศต่อไปได้ และประเทศของเรากำลังเดินไปสู่ความเป็นรัฐล้มเหลว
ผมคิดว่าท่านน่าจะรู้ดีว่าการเข้ามาเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อคลี่คลายปัญหาของบ้านเมืองก่อนกลับไปสู่สถานการณ์ปกตินั้น ท่านจะต้องทำอย่างไร วันนี้ตัวท่านเองคงรู้ดีแล้วว่าท่านทำอะไรไปแล้วบ้างอะไรที่ยังไม่ได้ทำ ในขณะที่หลายเสียงบอกว่าท่านยังไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากการเอาอกเอาใจกลุ่มทุนผ่านโครงการที่เรียกว่า “ประชารัฐ” แต่นั่นก็ช่างเถอะ มีคนพูดเรื่องนี้กันมามาก ท่านคงได้ยินได้ฟังไปบ้างแล้ว
ผมเพียงแต่อยากบอกว่า ถ้าใครเขาท้วงติงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของท่าน ท่านต้องรับฟัง ไม่ใช่ท้าทายว่าให้เขามาทำเอง เพราะท่านเป็นนายกรัฐมนตรีแม้ว่าจะมาโดยไม่ชอบธรรม แต่วันนี้ท่านก็คือคนที่อาสาประชาชนเข้ามาทำงาน ท่านเป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องอดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะจากประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง อย่าเข้าใจผิดนะว่าประเทศนี้เป็นของท่าน ดังนั้นท่านจะทำอะไรกับประเทศนี้ก็ได้
ตั้งแต่ท่านเข้าสู่อำนาจผมมักได้ยินท่านพูดเสมอว่ากฎหมายก็คือกฎหมาย มักพูดเสมอว่าต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก ท่านชอบพูดว่ากฎหมายมีมาตรฐานเดียว แต่ผมกำลังสงสัยว่านั่นเป็นคำพูดที่แท้จริงของท่านหรือเป็นเพียงคำพูดที่ท่านเสแสร้งแสดงออกมา
ผมจะย้อนกลับไปนิดนึงว่า ก่อนที่ท่านจะเข้าสู่อำนาจรัฐนั้น ท่านต้องรู้ว่าบทเริ่มต้นของวิกฤตเกิดจากอะไร ใช่หรือไม่ว่า เพราะนักการเมืองกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นเสียงข้างมากในสภาฯ 200-300 คน กำลังจะออกกฎหมายเพื่อให้ทักษิณพ้นผิด ทักษิณที่ท่านเพิ่งเอ่ยชื่อเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้แหละว่า เป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายภายใต้อำนาจของท่าน
แต่ประชาชนเห็นว่า นี่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเท่ากับกฎหมายไม่ได้เป็นกฎหมาย ความยุติธรรมของประเทศนี้ถูกทำลายด้วยเสียงข้างมากในสภาฯ พวกเขาจึงออกมาเดินถนนขับไล่รัฐบาลในขณะนั้น จนกลายเป็นวิกฤตที่ท่านต้องเข้ามายึดอำนาจ
วันนี้กำลังเดินซ้ำรอยที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งนั้น
นั่นคือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือป.ป.ช.จำนวนหนึ่ง มีความพยายามจะถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นี่ยิ่งกว่าการใช้เสียงข้างมากในสภาฯ เพื่อแก้ความผิดให้เป็นถูก แต่ใช้เสียงเพียงไม่กี่คนใน ป.ป.ช.เพื่อยกเลิกความผิดให้กับคน 4 คนนั้น คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว
ผมประหลาดใจมากเมื่อนักข่าวไปถามท่าน ท่านตอบราวกับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมพิจารณาถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ปี 2551 ท่านตอบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การรื้อฟื้น แต่เป็นการยื่นเรื่องจากฝ่ายผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาขอให้พิจารณาทบทวน ทุกคนสามารถยื่นได้หมด ทาง ป.ป.ช.เพียงแต่รับมาพิจารณาว่ารับได้หรือไม่ได้ ใช่หรือไม่ที่เขามีมติออกมา แต่การดำเนินการต่อหลังจากนั้นคงต้องติดตามดูกันอีกที แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้นั้นจะนำไปสู่การปฏิบัติ ถ้าเขายังไม่ได้ตั้งก็ไม่ได้ตั้ง ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าไปตีกระแสตรงนี้ให้มันขัดแย้งกันอีก
เมื่อถามว่ามองเรื่องนี้มีความผิดปกติหรือไม่ ท่านตอบว่า ไม่มองว่าผิดปกติ อะไรที่ไม่ใช่เรื่องคือไม่ใช่เรื่อง ผมได้แต่บอกว่าควรทำหรือไม่ควร ก็ไปว่ากันมา เวลานี้ปัญหาผมก็เยอะอยู่แล้ว
ท่านตอบแบบหลีกเลี่ยงเป็นเรื่องของขั้นตอนเป็นเรื่องที่ทำได้ มันก็ไม่ผิดหรอก แต่พอเขาถามท่านว่า เรื่องนี้ผิดปกติหรือไม่ นี่สิแปลกมากที่ท่านกลับบอกว่า ไม่ผิดปกติ
ท่านไม่รู้เลยหรือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้มีที่มาอย่างไร มันก็มาจากการอิงแอบกับอำนาจของท่านนั่นแหละ ท่านไม่รู้เลยหรือว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน ป.ป.ช.ได้เพราะใคร ก็คนที่อิงแอบจากอำนาจของท่านนั่นแหละ ท่านไม่รู้หรือว่าพล.ต.อ.วัชรพลมีที่มาอย่างไร
ท่านไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติเลยหรือที่อยู่ๆ จำเลยทั้งสี่ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยื่นเรื่องมาที่ ป.ป.ช.เพื่อให้ทบทวนคดีที่ ป.ป.ช.ชุดเก่ามีมติไปแล้วให้นำเรื่องขึ้นสู่ศาล ผมว่าคนทั่วไปเขายังรู้เลยว่า เรื่องนี้มีความพยายามจะช่วยกัน จริงอยู่ท่านบอกว่าเรื่องยังไม่เกิดเขากำลังพิจารณาตามขั้นตอนเพราะจำเลยยื่นเรื่องเข้ามา แต่ท่านตอบสิครับว่า ถ้าเขาถอนคดีออกจากศาลท่านมองว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ยุติธรรมหรือไม่
ท่านปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าท่านไม่รับรู้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เหมือนที่ท่านชอบพูดนั่นแหละว่า ท่านไม่ใช่คนไม่ฉลาด ผมจึงได้แต่หวังว่าท่านจะไม่โง่เฉียบพลันในเรื่องนี้ เพราะอำนาจที่เขากำลังใช้เพื่อล้างผิดให้ผู้ต้องหาคดี 7 ตุลาฯ นั้นเป็นอำนาจที่อิงแอบอยู่กับท่าน
วันนี้ท่านไม่ใช่นายกรัฐมนตรีในสถานการณ์ปกติ แต่ท่านถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ท่านถืออำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ และตุลาการ ภายใต้อำนาจในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญที่ให้ท่านมีอํานาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทําการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่ง หรือการกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้
แต่พอพูดถึงความพยายามเพื่อลบล้างความผิดในคดี 7 ตุลาฯ ของ ป.ป.ช.ท่านกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ปล่อยให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน ทั้งที่ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม และจะนำประเทศไปสู่ความขัดแย้งยิ่งขึ้น ท่านมีอำนาจที่จะยับยั้ง เว้นแต่ว่าท่านจะเกรงใจพล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่อดีตผู้บังคับบัญชาที่วันนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในทางนิตินัยของท่าน
แล้วมันจะพิสูจน์ว่า ที่ท่านชอบพูดว่า กฎหมายคือ กฎหมาย ท่านชอบพูดต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก ท่านชอบพูดว่ากฎหมายมีมาตรฐานเดียว เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของท่านหรือเป็นการแสดงละครฉากหนึ่ง
ผมตั้งใจเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงท่านเป็นการเฉพาะ ไม่ว่าอ่านแล้วท่านจะรู้สึกว่าเห็นด้วยหรือโกรธเคืองก็ตามนั่นเป็นสิทธิของท่าน ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะกังวลว่าท่านจะรู้สึกอย่างไร
ผมเห็นด้วยกับหลายคนในประเทศนี้เช่นเดียวกับที่ท่านพูดเสมอมาว่าท่านจำเป็นต้องเข้ามาเพื่อแก้วิกฤตของบ้านเมือง ในวันที่ประเทศไทยเดินทางมาถึงทางตันไร้ทางออก รัฐบาลในขณะนั้นไม่สามารถนำพาประเทศต่อไปได้ และประเทศของเรากำลังเดินไปสู่ความเป็นรัฐล้มเหลว
ผมคิดว่าท่านน่าจะรู้ดีว่าการเข้ามาเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อคลี่คลายปัญหาของบ้านเมืองก่อนกลับไปสู่สถานการณ์ปกตินั้น ท่านจะต้องทำอย่างไร วันนี้ตัวท่านเองคงรู้ดีแล้วว่าท่านทำอะไรไปแล้วบ้างอะไรที่ยังไม่ได้ทำ ในขณะที่หลายเสียงบอกว่าท่านยังไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากการเอาอกเอาใจกลุ่มทุนผ่านโครงการที่เรียกว่า “ประชารัฐ” แต่นั่นก็ช่างเถอะ มีคนพูดเรื่องนี้กันมามาก ท่านคงได้ยินได้ฟังไปบ้างแล้ว
ผมเพียงแต่อยากบอกว่า ถ้าใครเขาท้วงติงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของท่าน ท่านต้องรับฟัง ไม่ใช่ท้าทายว่าให้เขามาทำเอง เพราะท่านเป็นนายกรัฐมนตรีแม้ว่าจะมาโดยไม่ชอบธรรม แต่วันนี้ท่านก็คือคนที่อาสาประชาชนเข้ามาทำงาน ท่านเป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องอดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะจากประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง อย่าเข้าใจผิดนะว่าประเทศนี้เป็นของท่าน ดังนั้นท่านจะทำอะไรกับประเทศนี้ก็ได้
ตั้งแต่ท่านเข้าสู่อำนาจผมมักได้ยินท่านพูดเสมอว่ากฎหมายก็คือกฎหมาย มักพูดเสมอว่าต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก ท่านชอบพูดว่ากฎหมายมีมาตรฐานเดียว แต่ผมกำลังสงสัยว่านั่นเป็นคำพูดที่แท้จริงของท่านหรือเป็นเพียงคำพูดที่ท่านเสแสร้งแสดงออกมา
ผมจะย้อนกลับไปนิดนึงว่า ก่อนที่ท่านจะเข้าสู่อำนาจรัฐนั้น ท่านต้องรู้ว่าบทเริ่มต้นของวิกฤตเกิดจากอะไร ใช่หรือไม่ว่า เพราะนักการเมืองกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นเสียงข้างมากในสภาฯ 200-300 คน กำลังจะออกกฎหมายเพื่อให้ทักษิณพ้นผิด ทักษิณที่ท่านเพิ่งเอ่ยชื่อเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้แหละว่า เป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายภายใต้อำนาจของท่าน
แต่ประชาชนเห็นว่า นี่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเท่ากับกฎหมายไม่ได้เป็นกฎหมาย ความยุติธรรมของประเทศนี้ถูกทำลายด้วยเสียงข้างมากในสภาฯ พวกเขาจึงออกมาเดินถนนขับไล่รัฐบาลในขณะนั้น จนกลายเป็นวิกฤตที่ท่านต้องเข้ามายึดอำนาจ
วันนี้กำลังเดินซ้ำรอยที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตครั้งนั้น
นั่นคือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือป.ป.ช.จำนวนหนึ่ง มีความพยายามจะถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นี่ยิ่งกว่าการใช้เสียงข้างมากในสภาฯ เพื่อแก้ความผิดให้เป็นถูก แต่ใช้เสียงเพียงไม่กี่คนใน ป.ป.ช.เพื่อยกเลิกความผิดให้กับคน 4 คนนั้น คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว
ผมประหลาดใจมากเมื่อนักข่าวไปถามท่าน ท่านตอบราวกับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมพิจารณาถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ปี 2551 ท่านตอบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การรื้อฟื้น แต่เป็นการยื่นเรื่องจากฝ่ายผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาขอให้พิจารณาทบทวน ทุกคนสามารถยื่นได้หมด ทาง ป.ป.ช.เพียงแต่รับมาพิจารณาว่ารับได้หรือไม่ได้ ใช่หรือไม่ที่เขามีมติออกมา แต่การดำเนินการต่อหลังจากนั้นคงต้องติดตามดูกันอีกที แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้นั้นจะนำไปสู่การปฏิบัติ ถ้าเขายังไม่ได้ตั้งก็ไม่ได้ตั้ง ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าไปตีกระแสตรงนี้ให้มันขัดแย้งกันอีก
เมื่อถามว่ามองเรื่องนี้มีความผิดปกติหรือไม่ ท่านตอบว่า ไม่มองว่าผิดปกติ อะไรที่ไม่ใช่เรื่องคือไม่ใช่เรื่อง ผมได้แต่บอกว่าควรทำหรือไม่ควร ก็ไปว่ากันมา เวลานี้ปัญหาผมก็เยอะอยู่แล้ว
ท่านตอบแบบหลีกเลี่ยงเป็นเรื่องของขั้นตอนเป็นเรื่องที่ทำได้ มันก็ไม่ผิดหรอก แต่พอเขาถามท่านว่า เรื่องนี้ผิดปกติหรือไม่ นี่สิแปลกมากที่ท่านกลับบอกว่า ไม่ผิดปกติ
ท่านไม่รู้เลยหรือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้มีที่มาอย่างไร มันก็มาจากการอิงแอบกับอำนาจของท่านนั่นแหละ ท่านไม่รู้เลยหรือว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน ป.ป.ช.ได้เพราะใคร ก็คนที่อิงแอบจากอำนาจของท่านนั่นแหละ ท่านไม่รู้หรือว่าพล.ต.อ.วัชรพลมีที่มาอย่างไร
ท่านไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติเลยหรือที่อยู่ๆ จำเลยทั้งสี่ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยื่นเรื่องมาที่ ป.ป.ช.เพื่อให้ทบทวนคดีที่ ป.ป.ช.ชุดเก่ามีมติไปแล้วให้นำเรื่องขึ้นสู่ศาล ผมว่าคนทั่วไปเขายังรู้เลยว่า เรื่องนี้มีความพยายามจะช่วยกัน จริงอยู่ท่านบอกว่าเรื่องยังไม่เกิดเขากำลังพิจารณาตามขั้นตอนเพราะจำเลยยื่นเรื่องเข้ามา แต่ท่านตอบสิครับว่า ถ้าเขาถอนคดีออกจากศาลท่านมองว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ยุติธรรมหรือไม่
ท่านปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าท่านไม่รับรู้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เหมือนที่ท่านชอบพูดนั่นแหละว่า ท่านไม่ใช่คนไม่ฉลาด ผมจึงได้แต่หวังว่าท่านจะไม่โง่เฉียบพลันในเรื่องนี้ เพราะอำนาจที่เขากำลังใช้เพื่อล้างผิดให้ผู้ต้องหาคดี 7 ตุลาฯ นั้นเป็นอำนาจที่อิงแอบอยู่กับท่าน
วันนี้ท่านไม่ใช่นายกรัฐมนตรีในสถานการณ์ปกติ แต่ท่านถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ท่านถืออำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ และตุลาการ ภายใต้อำนาจในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญที่ให้ท่านมีอํานาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทําการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่ง หรือการกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้
แต่พอพูดถึงความพยายามเพื่อลบล้างความผิดในคดี 7 ตุลาฯ ของ ป.ป.ช.ท่านกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ปล่อยให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน ทั้งที่ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม และจะนำประเทศไปสู่ความขัดแย้งยิ่งขึ้น ท่านมีอำนาจที่จะยับยั้ง เว้นแต่ว่าท่านจะเกรงใจพล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่อดีตผู้บังคับบัญชาที่วันนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในทางนิตินัยของท่าน
แล้วมันจะพิสูจน์ว่า ที่ท่านชอบพูดว่า กฎหมายคือ กฎหมาย ท่านชอบพูดต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก ท่านชอบพูดว่ากฎหมายมีมาตรฐานเดียว เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของท่านหรือเป็นการแสดงละครฉากหนึ่ง