ผู้จัดการรายวัน 360 - รมว.ยุติธรรม "พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา" ย้ำต้องดำเนินดคีรถเบนซ์โบราณหรู "สมมเด็จช่วง" ต่อ แม้ทนายทำหนังสือคืนรถให้ผู้บริจาค ชี้ยึดกฎหมายเป็นหลักหากถูกต้องไม่ต้องกลัวความผิด
วานนี้ (3 มี.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการตรวจสอบรถเบนซ์โบราณ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หลังทีมทนายความวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่ได้ทำหนังสือคืนรถคันดังกล่าวให้กับผู้บริจาคแล้ว ว่า การตรวจสอบรถแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1.รถคันดังกล่าวผิดหรือไม่ ซึ่งการตรวจสอบพบผิดกฎหมายชัดเจน และ 2.ผู้ครอบครองผิดหรือไม่
"รถเบนซ์คันดังกล่าวผิดกฎหมายชัดเจน จะเอาไปไว้ไหน ถ้าผู้ครอบครองสิ่งผิดกฎหมาย แม้จะอยู่ในสถานที่ใดก็ผิด ซึ่งก็ต้องดำเนินคดีต่อไปไม่เกี่ยวว่า รถคันนั้นจะส่งไปไหนและไม่สามารถจะยุติได้" พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
ส่วนกรณีมีการขึ้นป้ายสนับสนุนสมเด็จช่วงตามวัดต่างๆ นั้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า เรื่องการดำเนินคดีต้องดำเนินการตามข้อกฎหมายเป็นหลัก ไม่ต้องออกมากดดัน เพราะจะไม่มีผลต่อการดำเนินคดี หากไม่ได้กระทำผิดก็ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถร้องเรียนได้
สำหรับประเด็นการยึดรถเบนซ์โบราณหลังตรวจสอบพบผิดกฎหมายนั้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า เรื่องนี้น่าคิดทำไมที่ผ่านมาไม่ดำเนินการยึดรถ เพราะถ้าหากกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้นต้องปฏิบัติตามเหมือนกันไม่มีการยกเว้น แต่การไปดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ภายในวัดต้องเข้าพบกับสมเด็จช่วงก่อนเพื่อพูดคุยในรายละเอียด และเป็นการให้เกียรติพระชั้นผู้ใหญ่เพื่อขอรับรถของกลางมาตรวจสอบ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวปิดท้ายว่า ในวันจันทร์ที่ 7 มี.ค. เวลา 09.30 น. ตนจะเป็นประธานประชุมผู้เกี่ยวข้องกับรถผิดกฎหมายจำนวนกว่า 6,000 คัน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ร่วมกันหารือ เช่น กรมศุลกากร สรรพสามิต กรมขนส่งทางบก ฯลฯ ส่วนเรื่องการแก้ไขนั้นอยากให้ไปถามรัฐมนตรีที่ดูแลในเรื่องนี้ เพราะกระทรวงยุติธรรมเป็นปลายเหตุแล้ว
วานนี้ (3 มี.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการตรวจสอบรถเบนซ์โบราณ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หลังทีมทนายความวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่ได้ทำหนังสือคืนรถคันดังกล่าวให้กับผู้บริจาคแล้ว ว่า การตรวจสอบรถแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1.รถคันดังกล่าวผิดหรือไม่ ซึ่งการตรวจสอบพบผิดกฎหมายชัดเจน และ 2.ผู้ครอบครองผิดหรือไม่
"รถเบนซ์คันดังกล่าวผิดกฎหมายชัดเจน จะเอาไปไว้ไหน ถ้าผู้ครอบครองสิ่งผิดกฎหมาย แม้จะอยู่ในสถานที่ใดก็ผิด ซึ่งก็ต้องดำเนินคดีต่อไปไม่เกี่ยวว่า รถคันนั้นจะส่งไปไหนและไม่สามารถจะยุติได้" พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
ส่วนกรณีมีการขึ้นป้ายสนับสนุนสมเด็จช่วงตามวัดต่างๆ นั้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า เรื่องการดำเนินคดีต้องดำเนินการตามข้อกฎหมายเป็นหลัก ไม่ต้องออกมากดดัน เพราะจะไม่มีผลต่อการดำเนินคดี หากไม่ได้กระทำผิดก็ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถร้องเรียนได้
สำหรับประเด็นการยึดรถเบนซ์โบราณหลังตรวจสอบพบผิดกฎหมายนั้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า เรื่องนี้น่าคิดทำไมที่ผ่านมาไม่ดำเนินการยึดรถ เพราะถ้าหากกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้นต้องปฏิบัติตามเหมือนกันไม่มีการยกเว้น แต่การไปดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ภายในวัดต้องเข้าพบกับสมเด็จช่วงก่อนเพื่อพูดคุยในรายละเอียด และเป็นการให้เกียรติพระชั้นผู้ใหญ่เพื่อขอรับรถของกลางมาตรวจสอบ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวปิดท้ายว่า ในวันจันทร์ที่ 7 มี.ค. เวลา 09.30 น. ตนจะเป็นประธานประชุมผู้เกี่ยวข้องกับรถผิดกฎหมายจำนวนกว่า 6,000 คัน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ร่วมกันหารือ เช่น กรมศุลกากร สรรพสามิต กรมขนส่งทางบก ฯลฯ ส่วนเรื่องการแก้ไขนั้นอยากให้ไปถามรัฐมนตรีที่ดูแลในเรื่องนี้ เพราะกระทรวงยุติธรรมเป็นปลายเหตุแล้ว