xs
xsm
sm
md
lg

แฮปปี้คนเลี้ยงหมู “ก้อย-แซทเทอร์เดย์เซย์โกะ” สาวฟิวกูดแห่งยุค!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
เรียกได้ว่าเป็นสาวฟิวกูl,ดแห่งยุคที่ครองตำแหน่งเจ้าแม่สาย D.I.Y และมีสไตล์เป็นที่น่าจดจำในแวดวงเด็กแนว “ก้อย-วลัยลักษณ์ มุสิกโปฎก” ผู้กุมหัวใจทั้งดวงของเจ้าพ่อบทเพลงรัก “โย่ง-อาร์มแชร์” พร้อมเปิดมุมมองความฟิวกูดในชีวิตและเส้นทางรักสุดโรแมนติกที่ทำเอาใครหลายคนต้องอิจฉา รวมถึงเรื่องราวสุดเซอร์ไพรส์วงการสัตว์เลี้ยงบ้านเรากับไลฟ์สไตล์การเลี้ยงสัตว์ของเธอ ในฐานะ “คนเลี้ยงหมู”

#Twelve เจ้าหมูตัวแสบ!

“ด้วยความที่คนไทยอาจรู้สึกว่าการเลี้ยงหมูเลี้ยงไว้กับโคลน เลี้ยงไว้ข้างนอกสกปรกๆ แต่ก้อยว่ามันอยู่ที่วิธีเลี้ยงของแต่ละคน เราเลี้ยงแบบนี้เลยทำให้มันมีพัฒนาการชีวิตเป็นแบบนี้ ทุกๆ ครั้งที่อยู่ข้างนอกหรือออกไปทำอะไร ก้อยจะรู้สึกอยากกลับบ้านเพื่อไปเจอมัน มันเป็นสิ่งหนึ่งที่มีเสน่ห์มาก มันมีความพอดีในตัวมัน มันมีวิธีการดำเนินชีวิตในแบบของมัน”

หลังจบคำถามที่เป็นใครคงต้องสงสัยว่าทำไมถึงเลี้ยงหมู เพราะในบ้านเราน้อยคนนักที่จะเลี้ยงหมูเป็นสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน ก่อนที่เธอจะเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการเดินทางมาของเจ้าหมูตัวนี้ ซึ่งกลายมาเป็นสมาชิกสุดรักของบ้าน

“มีน้องคนหนึ่งที่กองละครพี่โย่งเขามีลูกหมู 6 ตัว ซึ่งมันเยอะและเขาไม่สามารถเลี้ยงได้ เขาเลยถามเราว่าเคยเลี้ยงไหม หมูมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราสะดุดกับคำว่าเคยเลี้ยงไหม”

ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้นที่รู้สึกสะดุดงุนงงไปชั่วขณะหนึ่ง จากคำถามคล้ายจะธรรมดาทำเอาคนทั่วๆ ไปสตั้นไปเล็กน้อยเช่นกันกับคำถามที่ว่าเคยเลี้ยงหมูไหม หลังจากนั้นจึงเกิดความคิดบางอย่างแล่นเข้ามา

“ก้อยนั่งคิดว่าหรือจะลองเลี้ยงหมูดี จากนั้นลองไปดูที่บ้านเจ้าหมู 6 ตัว เป็นหมูพันธุ์เวียดนาม (Vietnamese Pot Belly) วันแรกที่เห็นเจ้าหมู 6 ตัวนี้รู้สึกว่ามันน่ารักมาก แต่ว่าทั้ง 6 ตัวมีอยู่ตัวเดียวที่ยอมให้อุ้ม ตัวอื่นจะร้องบ้าง ดิ้นบ้าง มีตัวนี้ตัวเดียวที่อุ้มแล้วเงียบ ซุกแล้วก็อ้อน ตอนนั้นเลยตัดสินใจอุ้มกลับบ้าน หลังจากนั้นเลี้ยงมาจนถึงทุกวันนี้”


 
ราวกับว่าเป็นการทักทายในแบบหมูๆ ซึ่งหนึ่งในหกตัวนั้น มีเพียงเจ้าหมูตัวเดียวเท่านั้นที่ยอมให้เธอทำความรู้จัก ท่าทางออดอ้อนดูน่ารักของมันทำให้มิตรภาพระหว่างกันเริ่มต้นขึ้น ซึ่งหลังจากที่เธอพาสมาชิกใหม่เข้าสู่บ้านแสนอบอุ่น โดยมีชื่อเรียกประจำตัวว่า 'Twelve' เจ้าหมูแคระตัวนี้ได้สร้างเรื่องเซอร์ไพรส์ให้เธออย่างไม่น่าเชื่อ

“มันทำให้เราประหลาดใจทุกครั้งที่มีอะไรใหม่ๆ มาให้มัน อย่างมาวันแรกเราคิดว่ามันควรจะนอนยังไง ขับถ่ายยังไง เราลองใช้วิธีเดียวกับหมา คือลองใช้กระบะวางดู หาที่นอนนุ่มๆ มาวางให้มัน สักพักหนึ่งมันก็ทำในสิ่งที่เราประหลาดใจ คือมันรู้จักวิธีใช้ของพวกนี้หมดเลย ทั้งๆ ที่มันไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย”
 
ความน่ารักของหมูตัวนี้ยังมีให้เห็นและสร้างความประทับใจได้เรื่อยๆ ก่อนที่คุณก้อยจะเล่าต่อไปถึงความเฉลียวฉลาดที่เจ้าทเวลฟ์แสดงให้เห็น ทั้งในเรื่องการเข้าห้องน้ำของมัน นิสัยความเป็นหมูเจ้าระเบียบ และการเข้านอนอย่างตรงเวลา ทำเอาทีมงานอมยิ้มไปกับความน่ารักของเจ้าทเวลฟ์ไปด้วย

“เรื่องการใช้ห้องน้ำ เราคิดว่ามันจะเข้าได้ไหม ปกติเราเลี้ยงแมวก็จะพาแมวไปดมก่อน ว่าจะให้มันถ่ายที่นี่นะ ในขณะที่เรากำลังจัดกระบะคิดอยู่ว่าเดี๋ยวจะพามันมาดม แล้วจะสอนมันว่าต้องมาใช้ตรงนี้นะ ถ้าสมมุติว่ามันทำได้เอง ขับถ่ายเป็นที่มันจะไม่เป็นภาระให้เรา ระหว่างที่จัดๆ อยู่มันก็แสดงในสิ่งที่เราคิดไม่ถึง คือมันไปถ่ายบนกระบะโดยที่เราไม่ได้สอนอะไรเลย

ส่วนที่นอนก็เหมือนกัน ตอนนั้นซื้อค่อนข้างใหญ่และสูงจากตัวมันเยอะ เราคิดว่าจะทำยังไงให้มันขึ้นได้ เลยเอาหนังสือมาวางเรียงกันเป็นขั้นบันได กำลังเรียงๆ อยู่ มันก็กระโดดขึ้นไปนอนต่อหน้าเรา (หัวเราะ) มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ มันฉลาดกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก แม้กระทั่งที่ใส่น้ำ อาหาร หรืออะไรทุกอย่าง มันเรียนรู้วิธีการใช้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มันเห็นเลย แล้วมันก็ไม่ปฏิเสธที่จะลองทำดู”

ดูเหมือนว่าความน่ารักของหมูน้อยตัวนี้จะฉุดไม่อยู่ เพราะยิ่งได้คลุกคลีและใช้เวลาอยู่ด้วยเท่าใด ยิ่งทำให้เธอหลงรักมันเข้าไปทุกที อย่างที่เธอกล้าพูดเลยว่าสัตว์ชนิดนี้เก่งกว่าที่คิดไว้มาก ความฉลาดปนน่ารักของมันทำให้วันทุกวันของเธอมีความสุข

“มันทำให้เรารู้ว่าจริงๆ มันเก่งกว่าที่เราคิด ทุกสิ่งทุกอย่างในส่วนนั้นที่เราจัดให้มันอยู่ มันสะอาดมาก และมันก็รักในโซนที่เป็นบ้านของมันมาก เมื่อไหร่ที่เราเอาของไปวางมันจะพยายามเอาจมูกดันให้เข้าไปเก็บเป็นระเบียบ ส่วนเวลานอนมันจะนอนเป็นเวลาของมันทุกวัน 5 ทุ่ม ถ้าเริ่มง่วงแล้วก็จะเดินๆ ไป เอาจมูกจัดที่นอนให้เป็นระเบียบแล้วก็เข้านอน”

 
สุดท้ายนี้ เธอได้กล่าวทิ้งท้ายถึงความรักและความเอ็นดูที่มีต่อเจ้าทเวลฟ์ ผ่านท่าทางและสายตาอย่างน่าอบอุ่น ทำเอาทีมงานยิ้มตามในความรัก การดูแลเอาใจใส่ และความรักผิดชอบต่อสิ่งมีชีวิตอีกสิ่งหนึ่งอย่างจริงใจ ซึ่งเธอเองบอกอีกว่าแม้ในอนาคตน้องหมูตัวนี้จะโตอีกสักแค่ไหน อย่างไรแล้วมันก็จะอยู่ภายใต้หลังคาบ้านที่อบอุ่นหลังนี้ตลอดไป

“มันทำให้เราค่อยๆ หลงรักมัน วันหนึ่งรู้ตัวอีกทีก็รักมันมากไปแล้ว มันทำให้เรามีความสุขมาก วิธีการดำเนินชีวิตต่างๆ ของมันมีการเรียนรู้ในแบบของมันที่เห็นแล้วรู้สึกว่าน่ารักจัง สุดท้ายแล้วถึงมันจะโตกว่านี้อีกสักเท่าไหร่ มันก็จะยังอยู่ในที่ๆ เป็นบ้านของมันเหมือนเดิม มันก็จะยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพราะมันคือส่วนหนึ่งในครอบครัวเราไปแล้ว และทำให้ทุกวันเราเห็นมันแล้วมีความสุข”

“แบดบ้าง-กูดบ้าง” สีสันชีวิต!

“จริงๆ ก้อยว่ามีกันทุกคนนะคะ อาจจะเป็นช่วงเวลาแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก้อยพยายามจัดระเบียบให้มันฟิวกูดเรื่อยๆ แบดบ้าง กูดบ้าง มันก็ทำให้ชีวิตมีสีสันดี จริงๆ การที่เราใช้ชีวิตให้ดีที่สุด มันไม่จำเป็นต้องกูดตลอด เพราะมันคงไม่สามารถกูดได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ทำให้มันมีสัดส่วนที่พอเหมาะกัน อยู่กันแบบเข้าใจ”

ฟังดูแล้วเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะชีวิตคนเราคงเป็นไปไม่ได้ว่าจะให้มีมุมที่ดีและเป็นที่น่าพอใจอยู่ตลอดเวลา ในบางเรื่องหรือบางช่วงเวลาไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามในสิ่งที่คาดหวังได้เสียหมด ซึ่งคุณก้อยเองเปรยให้เห็นแล้วว่าการจัดสัดส่วนทั้งด้านบวกและลบให้พอดีนั้น อาจช่วยให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น

“เวลาที่ทุกข์ เราต้องทำความเข้าใจว่าเพราะอะไรเราต้องทุกข์ เวลาที่สุข อย่าไปหลงกับมันมาก มันจะทำให้อยู่ในสัดส่วนที่ไปด้วยกันได้อย่างสบาย ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน” ความจริงแล้วสมการการใช้ชีวิตของแต่ละคนต่างสูตรกันออกไป ซึ่งแน่นอนว่าวิธีการแก้ไขปัญหาชีวิตย่อมต่างไปด้วย ทว่า สำหรับสาวก้อยที่มีลุคเป็นผู้หญิงคิดบวก ทีมงานจึงอดถามไม่ได้ถึงวิธีการจัดการกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น

“ส่วนมากก้อยจะไม่มีอะไรที่ทุกข์ใจหนักๆ เพราะก้อยคิดเสมอว่า อะไรที่มันเกิดมาแล้วมันย่อมดีทุกสิ่ง เวลาที่เราจะใช้ชีวีตสักอย่างหนึ่ง เวลาที่เรามองอะไรบางอย่างในจุดๆ เดียว มันอาจจะทำให้เราเป็นทุกข์ แต่ถ้าเรามองให้มันกระจาย ถูกผ่อนบ้าง อันไหนหนักบ้าง เบาบ้าง เราก็ให้น้ำหนักกับมันที่มันแตกต่างกัน ก้อยเชื่อว่าทุกอย่างมันไม่มีอะไรที่ทำให้เราดิ่งถึงขนาดว่ามันต้องที่สุด ถ้าเรารู้จักที่จะผ่อนมัน”

 
นอกจากนี้ เธอยังบอกต่อวิธีการดูแลสุขภาพจิตในแบบของเธอเองด้วยว่า เธอชอบการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน การออกไปสัมผัสกับธรรมชาติทำให้รู้สึกผ่อนคลายและได้รับพลังงานดีๆ กลับมา โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่ทุกคนหันหน้าเข้าหาเทคโนโลยี จนกลายเป็นชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว ทว่า การรู้จักจัดแบ่ง ผ่อนหนัก ผ่อนเบาให้ชีวิต อาจทำให้ชีวิตเกิดความสมดุลมากขึ้น

“พยายามหาเวลาพักผ่อน แล้วแต่คนว่าใครจะมีวิธีแบบไหน ส่วนตัวก้อยคือชอบไปป่า ไปเขา มันเป็นช่วงเวลาที่พักผ่อนเหมือนกัน ช่วงเวลาที่ได้ไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีเทคโนโลยี มันทำให้เรามีความสุขขึ้น สำหรับเทคโนโลยี ถ้าเรารู้จักใช้มันให้เป็นมันจะอยู่กับเราได้อย่างกลมกลืน

เราไม่จำเป็นต้องหนีมัน หรือตัดมัน แต่ถ้าเราอยู่กับมันแล้วใช้มันอย่างถูกวิธี มันจะมีประโยชน์กับการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ก้อยเป็นคนหนึ่งที่ผ่อนและไม่ได้อยู่กับมันจนมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่มันแค่เป็นส่วนที่มาเติมให้เราสนุกขึ้นมากกว่า”

“เธอคือเพลงรัก”

ขึ้นแท่นเป็นคู่รักที่ทำเอาใครหลายคนอิจฉากันเป็นแถบๆ หวานหยาดเยิ้มจนน้ำตาลยังต้องร้องขอชีวิตสำหรับความรักกับนักร้องหนุ่มสุดแนว “โย่ง-อาร์มแชร์” ที่ได้อัปเดตภาพความหวานกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนแห่งความรักที่ผ่านมา คราวนี้จึงไม่พลาดที่จะถามถึงมุมมองความรักของสาวก้อย และวิธีการรักษาความสัมพันธ์ให้ยืดยาวจนเป็นที่น่าอิจฉาถึงเพียงนี้

“ก้อยใช้ความรักให้เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้สร้างให้มันหวือหวาจนเกินไป แค่ดูแลมันในแบบที่มนุษย์คนหนึ่งจะดูแลอีกคนได้ ไม่รู้สึกว่าต้องฝืน ทน หรืออึดอัดจนเกินไป เราให้ความรักในแบบที่ความรักมันจะนำพาเราไป ความรักมันจะค่อยๆ เดินทางมาเอง แล้วมันจะบอกเราเองว่าตอนนี้มันมากไปหรือน้อยไป มันควรต้องเพิ่มหรือลด มันจะบอกเราเอง”

ความรักของเธอนั้นถือเป็นรักที่เรียบง่ายแต่มีความพิเศษอยู่ในตัว เธอขยายความให้เห็นภาพต่อไปว่า ความรักของเธอนั้นคือความพอดี ไม่มากและน้อยจนเกินไป แน่นอนว่าความรักที่มีความสม่ำเสมอคือ สิ่งสำคัญที่ทำให้ความรักไม่มีวันหมดอายุ

“จริงๆ ความรักของทุกคนมันดี อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันในทิศทางแบบไหน เราจะอยู่กับมันได้ในรูปแบบไหน จริงๆ ทุกคนมีความรักไม่เหมือนกัน แต่ละคู่จะมีรูปแบบที่ต่างกันไป ต่างวิธีในการดำเนินชีวิตกันไป แต่ความรักของก้อยมันถูกจัดให้เป็นความรักที่พอดีๆ ไม่มากไปไม่น้อยไป ประคับประคองให้มันเป็นความรักที่สม่ำเสมอ”

 
เรื่องราวความรักมันถูกแสดงออกมาในรูปแบบบทเพลงต่างๆ ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุขและความทุกข์ แต่ละบทเพลงอาจถูกใช้เพื่อเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวรักๆ ของแต่ละคนได้ในช่วงเวลาหนึ่งใด ทีมงานจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วความรักของคุณก้อยในเวลานี้จะเปรียบได้กับท้วงทำนองของเพลงใด

“เวลาเจอความรักดีๆ เราก็อยากเก็บให้มันอยู่นานๆ จริงๆ ถ้าจะเปรียบกับเพลงมันต้องเปรียบเป็นช่วงนั้นๆ มันจะมีเพลงเข้ามาในแบบหนึ่ง เวลาที่เจออารมณ์ต่างๆ มันจะเปรียบไปกับเพลงแต่ละเพลง มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวันเวลา ตามเหตุการณ์นั้นๆ เพราะเพลงมันอยู่ในชีวิตเราทุกๆ วันแหละ อยู่ที่เราอยากให้ช่วงชีวิตนั้นอยู่ในช่วงไหนของเพลงไหนมากกว่า”

“เขาว่าคู่คุณก้อยเป็นคู่ที่น่าอิจฉา” หลังจบคำถาม เธอยิ้มเล็กๆ ก่อนจะอธิบายต่อไปถึงความหวานที่ใครหลายคนชื่นชม เธอเองยอมรับเลยว่าความโชคดีของชีวิตคือการได้เจอความรักดีๆ แน่นอนว่าการที่จะมีความรักดีๆ ได้นั้น ไม่ได้อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง แต่ต้องขึ้นอยู่กับคนสองคน

“ก็น่าอิจฉาจริงๆนะ (หัวเราะ) ขณะเราเองยังรู้สึกว่ามันน่าอิจฉาเลย มันไม่ได้ดีที่สุดแต่มันดีกว่าหลายๆ คู่ที่เคยเห็นหรือเคยได้ยิน ก้อยว่ามันอาจจะเป็นความโชคดีที่มีโอกาสได้พบกับคนที่ทำให้มันดี คือการที่มันจะดี มันไม่ได้ดีคนเดียว มันต้องดีทั้งคู่ ก้อยรู้สึกว่าคู่เราโชคดีที่มีความรักที่ดี เป็นเพราะเราทั้งคู่ให้ความสำคัญกับมัน และให้ความจริงใจต่อกัน มันก็เลยดีแค่นั้นเอง”

เรื่องโดย : พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพโดย : ศิวกร เสนสอน
ภาพบางส่วน : https://www.instagram.com/koiseiko/
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน 10thirty cafe รัชโยธิน


กำลังโหลดความคิดเห็น