ผู้จัดการรายวัน360 - “ไก่อู” เผยรัฐบาลรู้สึกอ่อนระอาใจพฤติกรรม “ยิ่งลักษณ์” เตะถ่วงขอเพิ่มพยานคดีข้าว แจงยืดเวลาให้ 3 รอบแล้วให้โอกาสมากที่สุด ชี้พยานขอเพิ่มใหม่แทบไม่เกี่ยวคดี ย้ำรัฐบาลยึดหลักกระบวนการยุติธรรม ให้แก้ต่างเต็มที่ ยกคดีไม่ตั้งอยู่บนเงื่อนไขเวลากฎหมาย รัฐบาล-ชาติเสียหาย
วานนี้ (31 ธ.ค.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมเป็นรอบที่ 4 จำนวน 18 ปาก ในการดำเนินคดีความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและกำหนดค่าความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว กระทรวงการคลัง ว่ารัฐบาลรู้สึกอ่อนระอาใจกับพฤติกรรมเตะถ่วงเวลาการพิจารณาคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะที่ผ่านมาเมื่อการสอบปากคำพยานใกล้จบก็จะขอเพิ่มบัญชีพยานมาอีกถึงสามครั้ง รวมหลายสิบปาก และหลายปากก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กว่าจะประสานติดตามมาให้ข้อมูลได้ก็ใช้เวลายาวนานกว่าที่ควรจะเป็น
“รัฐบาลได้อนุมัติขยายเวลาพิจารณาไปสามรอบแล้ว และสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 58 ถือว่าให้โอกาสอย่างมากที่สุดแล้ว ดังนั้นการขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเป็นรอบที่ 4 อีก 18 ปากและบางท่านแทบจะมองไม่ออกว่าเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร เช่น อดีตปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด จึงมองเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก มีเจตนาให้การพิจารณาคดียื้อเยื้อ และไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าพฤติกรรมเพิ่มจำนวนพยานจะสิ้นสุดลงเมื่อไร”
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า รัฐบาลยึดมั่นในหลักการของกระบวนการยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้ชี้แจงแก้ต่างอย่างเต็มที่ และไม่เคยขัดข้องหากการเพิ่มจำนวนพยานจะช่วยให้มีข้อมูลที่มีนัยยะสำคัญ หรือข้อมูลใหม่ต่อการพิจารณาคดี แต่หากเป็นความจงใจกระทำเพียงเพื่อซื้อเวลา และทำให้คดียื้อเยื้อก็เป็นสิ่งที่ไม่บังควร เพราะประชาชนรอฟังคำตอบของคดีนี้มายาวนาน และทุกคดีมีอายุความที่ต้องดำเนินการ หากไม่ตั้งอยู่บนเงื่อนเวลาของกฎหมาย รัฐและประเทศชาติก็จะเสียหาย
“คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ จะเป็นผู้พิจารณาในเบื้องต้นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ดำเนินการติดตามตรวจสอบมาแล้วมีความครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใด มีความสมเหตุสมผลหรือเห็นควรอนุญาตให้เพิ่มบัญชีพยานหรือไม่ แล้วจะเสนอความเห็นมายังรัฐบาลอีกครั้งว่าเห็นควรรับคำร้องขอเพิ่มบัญชีพยานหรือไม่ เพราะเหตุใด”
วานนี้ (31 ธ.ค.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมเป็นรอบที่ 4 จำนวน 18 ปาก ในการดำเนินคดีความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและกำหนดค่าความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว กระทรวงการคลัง ว่ารัฐบาลรู้สึกอ่อนระอาใจกับพฤติกรรมเตะถ่วงเวลาการพิจารณาคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะที่ผ่านมาเมื่อการสอบปากคำพยานใกล้จบก็จะขอเพิ่มบัญชีพยานมาอีกถึงสามครั้ง รวมหลายสิบปาก และหลายปากก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กว่าจะประสานติดตามมาให้ข้อมูลได้ก็ใช้เวลายาวนานกว่าที่ควรจะเป็น
“รัฐบาลได้อนุมัติขยายเวลาพิจารณาไปสามรอบแล้ว และสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 58 ถือว่าให้โอกาสอย่างมากที่สุดแล้ว ดังนั้นการขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเป็นรอบที่ 4 อีก 18 ปากและบางท่านแทบจะมองไม่ออกว่าเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร เช่น อดีตปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด จึงมองเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก มีเจตนาให้การพิจารณาคดียื้อเยื้อ และไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าพฤติกรรมเพิ่มจำนวนพยานจะสิ้นสุดลงเมื่อไร”
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า รัฐบาลยึดมั่นในหลักการของกระบวนการยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้ชี้แจงแก้ต่างอย่างเต็มที่ และไม่เคยขัดข้องหากการเพิ่มจำนวนพยานจะช่วยให้มีข้อมูลที่มีนัยยะสำคัญ หรือข้อมูลใหม่ต่อการพิจารณาคดี แต่หากเป็นความจงใจกระทำเพียงเพื่อซื้อเวลา และทำให้คดียื้อเยื้อก็เป็นสิ่งที่ไม่บังควร เพราะประชาชนรอฟังคำตอบของคดีนี้มายาวนาน และทุกคดีมีอายุความที่ต้องดำเนินการ หากไม่ตั้งอยู่บนเงื่อนเวลาของกฎหมาย รัฐและประเทศชาติก็จะเสียหาย
“คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ จะเป็นผู้พิจารณาในเบื้องต้นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ดำเนินการติดตามตรวจสอบมาแล้วมีความครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใด มีความสมเหตุสมผลหรือเห็นควรอนุญาตให้เพิ่มบัญชีพยานหรือไม่ แล้วจะเสนอความเห็นมายังรัฐบาลอีกครั้งว่าเห็นควรรับคำร้องขอเพิ่มบัญชีพยานหรือไม่ เพราะเหตุใด”