xs
xsm
sm
md
lg

สัญญาณเตือน ลุงตู่-คสช.ห้ามพลาดเรื่องอ่อนไหว บัตรทอง-โกง !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

** เจอเรื่องปมทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ถล่มเข้ามาจนเห็น"อาการ"ไม่ปกติชัดเจน ที่สำคัญทำให้รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต้องสูญเสียความศรัทธาลงไปไม่น้อย และยังต้องลุ้นว่าผลสอบของพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ประธานคณะกรรมการสอบสวนกรณีอุทยานราชภักดิ์ ที่แต่งตั้งโดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าผลสรุปออกมาเช่นไร ตามรายงานข่าวบอกว่า จะมีการแถลงกันในวันที่ 30 ธันวาคมนี้
หลายฝ่ายกำลังจับตามองว่า ในผลสอบจะระบุความผิดถึงใครหรือไม่ อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความคิดของสังคมที่สรุปกันไปล่วงหน้าตั้งแต่ที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบขึ้นมาแล้วนั่นคือ "ไม่พบการทุจริต" หรือมีแต่ทุจริตเล็กน้อย "ในระดับเด็กๆ" เท่านั้น ซึ่งผลอาจออกมาแบบนี้ แม้ว่านั่นคือความจริงตามเส้นทางสอบสวนก็ได้
อย่างไรก็ดี ความรู้สึกประเภทที่ว่า "กูว่าแล้ว" นี่แหละมันอันตราย และจะทำลายความศรัทธารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติลงไปเรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมาสาเหตุที่ทำให้การตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวไม่ค่อยมีน้ำหนักก็คือ สังคมมองว่า "มีการปกปิดช่วยเหลือ" กลายเป็น "เขตทหารห้ามเข้า" จนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นสั่นสะเทือนไปแบบน่าเสียดาย
ที่สำคัญกรณีปมอุทยานราชภักดิ์ หากรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และมีเจตนาบริสุทธิ์ประเภทที่ว่า "ใครทำผิด" ก็ไม่ละเว้น ตามที่มีการประกาศของ ผู้นำคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้การปราบปรามการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นเป้าหมายหลักสำหรับการปฏิรูป แต่ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ถูกมองไปอีกแบบ ทำให้สังคมเกิดความระแวงสงสัยโดยไม่จำเป็น
และที่มองข้ามไม่ได้ก็คือ เรื่องนี้ทำให้เครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ทั้งพรรคเพื่อไทย พวกมวลชนจัดตั้ง ทั้งในแบบคนเสื้อแดง แอบแฝงมากับนักศึกษาไม่กี่คน แต่ก็สร้างกระแสให้สังคมเห็นคล้อยตามได้ไม่น้อย
**ดังนั้นแม้ว่าสังคมจะรอฟังผลการสอบสวนที่จะเปิดเผยออกมาในวันที่ 30 ธันวาคม นี้ แต่ขณะเดียวกันสังคมก็รอดูว่า ผลสอบที่จะออกมาดังกล่าว"ตรงกับที่คิดในใจ" เอาไว้ล่วงหน้าหรือไม่ ประเภท "กูว่าแล้ว" แม้ว่าจะเป็นไปตามเส้นทางสอบสวน แต่ความรู้สึกดังกล่าวนี่แหละอันตราย และบั่นทอนศรัทธาลงไปได้เรื่อยๆ
อีกเรื่องหนึ่งที่เกือบทำให้รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกอยู่ในภาวะวิกฤติก็คือ ข่าวที่ว่ารัฐบาลจะยกเลิกโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือโครงการ 30 บาท ซึ่งข่าวดังกล่าวปรากฏออกมาอย่างเป็นจริงเป็นจัง ว่ารัฐ"ถังแตก" ไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะอุ้มโครงการดังกล่าวอีกแล้ว โดยอ้างถึงแนวโน้มของการใช้งบประมาณเพื่อการนี้สูงขึ้นต่อเนื่อง และที่ผ่านมา ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศตกอยู่ในภาวะขาดทุนอย่างหนัก เป็นต้น และนี่คือสาเหตุของข่าวที่มาของการ "ยกเลิกบัตรทอง" เป็นต้น
อีกทั้งยังมีการโหมกระแสอย่างผิดสังเกตของพรรคเพื่อไทย อย่าง ภูมิธรรม เวชยชัย รองเลขาพรรค ที่กระหน่ำอย่างหนัก ทำนองว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังจะเลิกโครงการบัตรทองอย่างแน่นอน และตีกินไว้ล่วงว่า "หากบริหารไม่เป็น ก็ให้หลีกไป" พูดแบบนี้แหละที่ทำให้ต้องควันออกหู เพราะนี่มัน "หยามเหยียด" กันชัดๆ ซึ่งที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตร ได้ฉวยโอกาสนำเอาโครงการดังกล่าวมาหากิน เก็บคะแนนนิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้
**ดังนั้นเมื่อมีข่าวแบบนี้ออกมามันก็ต้องฉวยโอกาสอีกครั้งสำหรับการถล่มฝ่ายตรงข้ามให้จมดิน
เอาเป็นว่า ข่าวยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงวิธีการใหม่นี่สร้างความสั่นสะเทือนกับรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติพอสมควร เพราะขนาดนักคิดนักเขียนชื่อดังอย่าง สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ "ส.ศิวรักษ์" ก็ยังเข้าใจว่าเลิกจริง และขู่จะออกมาขับไล่
ยังดีที่รัฐบาลไหวตัวทัน รีบเบรกเกมร้อนทันควัน นั่นคือ รีบส่งพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงปฏิเสธหนักแน่น โดยอ้างคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ไม่เคยมีแนวคิดที่จะยกเลิกโครงการดังกล่าวตามที่ส.ส.พรรคเพื่อไทย จงใจสร้างข้อมูลเท็จ เพื่อให้เกิดความตื่นตระหนก และวุ่นวายในสังคม
"ขอยืนยันว่า การยกเลิกโครงการ 30 บาท ไม่เคยอยู่ในความคิดของรัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้ หรือตอนนี้ สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำคือ การปรับปรุงโครงการให้สามารถดูแลพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ได้รับการดูแลมากที่สุด ดีที่สุด และทั่วถึงที่สุด ขณะเดียวกัน ก็แก้ไขช่องโหว่ ความทับซ้อนของการจัดการ และการใช้งบประมาณเพื่อมิให้เป็นภาระต่อการบริหารงบประมาณแผ่นดินในอนาคต" โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว
**"ในอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนได้แสดงพฤติกรรมชี้นำ ชักจูง ให้ผู้หลงผิดเผาบ้านเผาเมือง เป็นภาพสลดที่คนไทยทุกคนยังติดตาไม่รู้ลืม มาวันนี้พฤติกรรมโอหัง ฝ่าฝืนกฎหมายเช่นนั้นกระทำไม่ได้แล้ว เพราะ คสช.และรัฐบาลเข้ามาดูแลความสงบปลอดภัยในประเทศ แต่ส.ส. พรรคเพื่อไทย ก็ยังใช้วิธี เผาความรัก เผาความสามัคคีของคนในชาติ ด้วยการโกหก สร้างข้อมูลเท็จ อย่างไม่ละอายใจ ทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความวิตกกังวล และสังคมสับสนวุ่นวาย ทุกคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ควรพิจารณาตนเองได้แล้วว่า เหลือความเป็นคนไทยในตัวมากน้อยเพียงใด ถ้าคิดทำกรรมดีให้ประเทศ ชาติไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอเพียงแต่เลิกทำกรรมชั่ว เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ชีวิตตัวท่านเอง "
นั่นเป็นตอบโต้ส่งท้ายแบบแรงๆ กลับไป อย่างไรก็ดี ในคำแถลงดังกล่าวของรัฐบาลยืนยันว่า "ไม่ยกเลิกบัตรทอง" แต่ก็มีความหมายว่า "ต้องมีการปรับปรุง" เพื่อไม่ให้การใช้งบประมาณซ้ำซ้อน โดยเฉพาะให้มีเป้าหมายในการดูแลคนมีรายได้น้อยอย่างตรงเป้า นั่นจึงมีเสียงก่อนหน้านี้ว่าจะมีการใช้วิธี "ร่วมจ่าย" ไม่ใช่ฟรีเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งตรงนี้แหละที่ยังมีปัญหา ที่รัฐบาลยังไม่มีการอธิบายให้ชัด หรืออาจเป็นเพราะยังไม่ได้ข้อสรุปจึงยังไม่แถลงให้ทราบ ก็เป็นได้
หากให้สรุปในเวลานี้ก็คือยังไม่ยกเลิกบัตรทอง เพียงแต่ว่าในอนาคตจะต้องมีการปรับวิธีการใหม่ เน้นไปคนมีรายได้น้อย เหมือนกับตอนนี้ที่กำลังจะเปลี่ยนคนใช้บริการรถเมล์ รถไฟฟรี ในเวลานี้ และนำมาสู่วิธีการที่จะบรรจุข้อมูลเรื่องรายได้อาชีพในบัตรประชาชน จนเกือบป่วนมาก่อนหน้านี้ไงละ
อย่างไรก็ดี ถ้าให้สรุปก็คือ นาทีนี้เหมือนกับว่ารัฐบาลกำลังเจอกับภาวะ "กลืนไม่เข้าคายไม่ออก" กำลังหาทางออกกับ "เรื่องอ่อนไหว" ได้ไม่สะเด็ดน้ำ เกิดความละล้าละลัง ทั้งเรื่อง "ปมอุทยานราชภักดิ์" ที่ชาวบ้านสรุปล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทุจริต เรื่องข้อมูลในบัตรประชาชน จนกระทั่งล่าสุดมาถึงเรื่อง"บัตรทอง" ที่น่าจะส่งผลสั่นสะเทือนมากที่สุด เพราะแม้ว่าจะไม่ยกเลิกแน่นอนตามการแถลงยืนยัน แต่สื่อความหมายว่า จะ"ปรับปรุง" ใหม่ คือใช้วิธี "ร่วมจ่าย" ตามข่าวที่ออกมาจากกระทรวงสาธารณสุข หรือเปล่า นั่นคือต่อไปจะมีการกำหนดรายได้ว่า ใครต้องมีภาระต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลบ้าง ซึ่งในการแถลงของ โฆษกรัฐบาลก็ยังไม่เคลียร์ เคลียร์แต่เพียงว่า ไม่เลิกบัตรทองเท่านั้น
ดังนั้น หากจับอาการเท่าที่เห็นในตอนนี้สาเหตุที่ทำให้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลต้องรีบออกมาแถลงยืนยันว่า "ไม่ยกเลิกบัตรทอง" เพราะรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มัน "อ่อนไหวมาก" ต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม เพราะหากปล่อยให้มีการวิจารณ์ขยายผลออกไป โดยเฉพาะจากฝ่ายเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มถล่มหนัก รวมถึงการเคลื่อนไหวอื่นๆตามมา เสี่ยงพังแบบไม่คาดคิด
** แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้เช่นกันว่า หากเดินหน้า ก็ต้องแบกภาระงบประมาณ แต่ก็มีคำถามว่าแม้จะเป็นภาระก็ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องทำ เพราะผลตอบแทนที่กลับมาอาจประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่การที่ทำให้ "สุขภาพดีถ้วนหน้า" มันคือเป้าหมายสูงสุดไม่ใช่หรือ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น