จะสิ้นปี 58 อยู่รอมร่อแล้ว แต่ก็ยังวนเวียนไม่ไปไหนกับเรื่องน่ารำคาญ เรื่องคดีความ การทำผิดกฎหมายของ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว แต่ไม่ยอมรับผิดอ้างโน่นอ้างนี่ พยายามยังทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด และได้ทรัพย์สินที่ถูกยึดไปกลับมาให้ได้
ล่าสุดคดีสำคัญที่มีผลต่อชะตากรรมของคนในครอบครัวนี้ก็คือ คดีอาญาจากโครงการรับจำนำข้าวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อถึงวันนัดตรวจพยาน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ศาลก็ได้นัดไต่สวนพยานนัดแรก ในวันที่ 15 มกราคม 2559 และกำหนดพยานฝ่ายจำเลย คือ ฝ่ายยิ่งลักษณ์ จำนวน 43 ปาก ก็เป็นอันว่าคดีเริ่มเดินเต็มตัว ที่สำคัญเมื่อเข้าสู่ศาลแล้ว ก็ต้องต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐาน จะตุกติก หรือเบี่ยงเบนได้ยาก
ขณะเดียวกัน การใช้มวลชนมากดดันศาลก็ทำได้ยาก แม้ว่าจะมาในรูปแบบให้กำลังใจที่อาจระดมมากันเป็นหมื่น เป็นแสนก็ตาม แต่เชื่อว่าคงจะกดดันให้เบี่ยงเบนไปตามความต้องการได้ยาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความพยายามดำเนินการ โดยเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล่าสุดก็โพสต์รูป และข้อความในอินสตาแกรม ด้วยการ "ใส่เสื้อแดง" และมีข้อความว่า "การปรองดองและความยุติธรรม ต้องมาจากหัวใจที่เป็นธรรมเท่านั้น" และยังบอกว่า นี่คือเทรนด์ใหม่ของปีนี้ ที่เป็นสีแดง ซึ่งก็จงใจให้เห็นว่าเป็นการสอดรับกับการนัดหมายใส่เสื้อแดง ในวันที่ 1 พฤศจิกายน เพียง
ไม่กี่วันเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เรื่องการปลุกระดม หรือการกระตุ้นแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเสมอสำหรับคนในครอบครัวนี้ เนื่องจากพวกเขายังมีมวลชนที่ยังหลงเชื่อเชิดชูอยู่ไม่น้อย แม้ว่าที่ผ่านมาทุกครั้งจะไม่เคยเห็นสักคนที่ออกมาร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ออกมาเสี่ยงกับมวลชนเหล่านั้นก็ตาม มีแต่หลบอยู่ในเงามืด หรือคอยปลุกระดมยุยงอยู่ต่างประเทศเท่านั้นเอง แต่ที่ผ่านมาก็ได้สร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองทุกครั้ง
**คราวนี้ก็เป็นที่จับตามองว่า ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันนัดหมายใส่เสื้อแดง และยังมี ทักษิณ ชินวัตร ใส่เสื้อแดงนำร่องมาแบบนี้ เมื่อถึงวันจริง จะมีคนใส่เดินออกมาจำนวนเท่าไหร่กันแน่ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีภาพออกมาในลักษณะที่ไม่ลงรอยกันระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงในเรื่องการการสวมเสื้อแดงในวันดังกล่าว เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ บอกว่านี่ คือแผนลวงสร้างสถานการณ์จึงไม่ควรออกมา ขณะที่อีกฝ่ายเห็นไปในทางตรงข้าม อ้างว่า นี่คือการให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรม
อย่างไรก็ดี เมื่อมาพิจารณาจากท่าทีของฝ่ายรัฐ โดยทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ออกมาส่งเสียงเตือนเข้มว่า "แกนนำต้องรับผิดชอบ"
ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวระหว่างการประชุมแม่น้ำห้าสาย เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา ให้ความชัดเจนขึ้นไปอีกนั่นคือ จะดำเนินการกับแกนนำ โดยจะไม่มีรายการเตือน หรือเรียกมาปรับทัศนคติ แต่จะ "จับเข้าคุก" ทันที ซึ่งการถูกดำเนินคดีแบบนี้มัน ก็ยังเสี่ยงต่อการห้ามทำธุรกรรม หรือเสี่ยงต่อการถูก "อายัดทรัพย์" อีกดัวย อย่างหลังนี่แหละที่ต้องหนาว ในสถานการณ์พิเศษแบบนี้มันก็อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันยังมีการแก้เกมแบบ "เนียนๆ" ออกมาก็คือให้ทุกคดีไปชี้ขาดและสิ้นสุดกันในศาล ใครถูกผิดก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน แน่นอนว่าหากมองกันให้ละเอียดก็คือการ "ลอยตัว" อยู่เหนือความขัดแย้ง พร้อมกันนี้ยังได้เรียกร้องกวักมือเรียก "คนที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ" ให้กลับเข้ามาพิสูจน์ มาสู้คดี แม้ว่าจะไม่ได่เอ่ยชื่อชัดๆ แต่ก็ย่อมหมายถึง ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ
นอกจากนี้หากพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 ตุลาฯ ระหว่างการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ยังส่งสัญญาณไปถึงอนาคตด้วย
** "หากไม่สงบเรียบร้อยผมก็ต้องอยู่ เอางี้ไหม พูดกันให้รู้เรื่องสักที อยู่ที่ท่านนั่นแหละ หากไม่เลิกกัน ก็อยู่กันอย่างนี้ ปิดประเทศก็ปิดกันไป ซึ่งผมไม่ได้ท้าทาย หากจะเอาประชาชนมา แกนนำจะโดนก่อน คนพูดมากๆ โดนก่อนหมด ผมมีอำนาจของผมอยู่"
คำพูดดังกล่าวของเขา เป็นการย้ำให้เห็นเป็นครั้งแรกว่า "พร้อมที่จะอยู่ต่อ" ไปเรื่อยๆ จนกว่าบ้านเมืองจะสงบเรียบร้อย แต่ออกมาในความหมายที่ว่า "อยู่ด้วยความจำเป็น" ไม่ใช่ต้องการอยู่ หรือต้องการสืบทอดอำนาจ ซึ่งก็แล้วแต่มุมมอง บางคนมองว่า นี่คือการแบะท่าที่จะยื้อเวลาออกไป ขณะที่อีกฝ่ายก็บอกว่า นี่คือแผนการที่อยู่ในใจมาตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ดี ไม่ว่ามองในมุมไหน สถานการณ์เวลานี้ได้เดินมาถึงจุดที่ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกเรื่องต้องขมวดปมเข้ามา เชื่อว่านับจากนี้ ฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นฝ่ายกระทบหนักที่สุดก็ย่อมดิ้นรนต่อสู้อย่างเต็มกำลัง และคงสร้างความหนักใจให้อีกฝ่ายไม่น้อย แต่ถึงอย่างไร สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มองตามรูปการณ์แล้ว แม้จะต้องเจอศึกหนักกว่าเดิมเพราะ "เดิมพันสูง" แต่ในภาพรวมก็ยังเป็นต่อ เนื่องจากยังรักษาความศรัทธาจากประชาชนส่วนใหญ่ไว้ได้ และที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็เริ่ม"ปรับทัศนคติ "ไม่ค่อยเหมารวมมวลชนสองฝ่ายว่ามีความขัดแย้งเหมือนแต่ก่อน เริ่มพูดเน้นถึงเรื่องฝ่ายที่ทำผิดกฎหมายมากขึ้น
** การที่ไม่เหมารวม อีกด้านหนึ่งมันก็คือการรักษามวลชนกลุ่มใหญ่เอาไว้นั่นแหละ
**ถึงได้บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนนี้ไม่ธรรมดาก็แล้วกัน !!
ล่าสุดคดีสำคัญที่มีผลต่อชะตากรรมของคนในครอบครัวนี้ก็คือ คดีอาญาจากโครงการรับจำนำข้าวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อถึงวันนัดตรวจพยาน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ศาลก็ได้นัดไต่สวนพยานนัดแรก ในวันที่ 15 มกราคม 2559 และกำหนดพยานฝ่ายจำเลย คือ ฝ่ายยิ่งลักษณ์ จำนวน 43 ปาก ก็เป็นอันว่าคดีเริ่มเดินเต็มตัว ที่สำคัญเมื่อเข้าสู่ศาลแล้ว ก็ต้องต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐาน จะตุกติก หรือเบี่ยงเบนได้ยาก
ขณะเดียวกัน การใช้มวลชนมากดดันศาลก็ทำได้ยาก แม้ว่าจะมาในรูปแบบให้กำลังใจที่อาจระดมมากันเป็นหมื่น เป็นแสนก็ตาม แต่เชื่อว่าคงจะกดดันให้เบี่ยงเบนไปตามความต้องการได้ยาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความพยายามดำเนินการ โดยเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล่าสุดก็โพสต์รูป และข้อความในอินสตาแกรม ด้วยการ "ใส่เสื้อแดง" และมีข้อความว่า "การปรองดองและความยุติธรรม ต้องมาจากหัวใจที่เป็นธรรมเท่านั้น" และยังบอกว่า นี่คือเทรนด์ใหม่ของปีนี้ ที่เป็นสีแดง ซึ่งก็จงใจให้เห็นว่าเป็นการสอดรับกับการนัดหมายใส่เสื้อแดง ในวันที่ 1 พฤศจิกายน เพียง
ไม่กี่วันเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เรื่องการปลุกระดม หรือการกระตุ้นแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเสมอสำหรับคนในครอบครัวนี้ เนื่องจากพวกเขายังมีมวลชนที่ยังหลงเชื่อเชิดชูอยู่ไม่น้อย แม้ว่าที่ผ่านมาทุกครั้งจะไม่เคยเห็นสักคนที่ออกมาร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ออกมาเสี่ยงกับมวลชนเหล่านั้นก็ตาม มีแต่หลบอยู่ในเงามืด หรือคอยปลุกระดมยุยงอยู่ต่างประเทศเท่านั้นเอง แต่ที่ผ่านมาก็ได้สร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองทุกครั้ง
**คราวนี้ก็เป็นที่จับตามองว่า ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันนัดหมายใส่เสื้อแดง และยังมี ทักษิณ ชินวัตร ใส่เสื้อแดงนำร่องมาแบบนี้ เมื่อถึงวันจริง จะมีคนใส่เดินออกมาจำนวนเท่าไหร่กันแน่ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีภาพออกมาในลักษณะที่ไม่ลงรอยกันระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงในเรื่องการการสวมเสื้อแดงในวันดังกล่าว เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ บอกว่านี่ คือแผนลวงสร้างสถานการณ์จึงไม่ควรออกมา ขณะที่อีกฝ่ายเห็นไปในทางตรงข้าม อ้างว่า นี่คือการให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรม
อย่างไรก็ดี เมื่อมาพิจารณาจากท่าทีของฝ่ายรัฐ โดยทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ออกมาส่งเสียงเตือนเข้มว่า "แกนนำต้องรับผิดชอบ"
ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวระหว่างการประชุมแม่น้ำห้าสาย เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา ให้ความชัดเจนขึ้นไปอีกนั่นคือ จะดำเนินการกับแกนนำ โดยจะไม่มีรายการเตือน หรือเรียกมาปรับทัศนคติ แต่จะ "จับเข้าคุก" ทันที ซึ่งการถูกดำเนินคดีแบบนี้มัน ก็ยังเสี่ยงต่อการห้ามทำธุรกรรม หรือเสี่ยงต่อการถูก "อายัดทรัพย์" อีกดัวย อย่างหลังนี่แหละที่ต้องหนาว ในสถานการณ์พิเศษแบบนี้มันก็อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันยังมีการแก้เกมแบบ "เนียนๆ" ออกมาก็คือให้ทุกคดีไปชี้ขาดและสิ้นสุดกันในศาล ใครถูกผิดก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน แน่นอนว่าหากมองกันให้ละเอียดก็คือการ "ลอยตัว" อยู่เหนือความขัดแย้ง พร้อมกันนี้ยังได้เรียกร้องกวักมือเรียก "คนที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ" ให้กลับเข้ามาพิสูจน์ มาสู้คดี แม้ว่าจะไม่ได่เอ่ยชื่อชัดๆ แต่ก็ย่อมหมายถึง ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ
นอกจากนี้หากพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 ตุลาฯ ระหว่างการประชุมแม่น้ำ 5 สาย ยังส่งสัญญาณไปถึงอนาคตด้วย
** "หากไม่สงบเรียบร้อยผมก็ต้องอยู่ เอางี้ไหม พูดกันให้รู้เรื่องสักที อยู่ที่ท่านนั่นแหละ หากไม่เลิกกัน ก็อยู่กันอย่างนี้ ปิดประเทศก็ปิดกันไป ซึ่งผมไม่ได้ท้าทาย หากจะเอาประชาชนมา แกนนำจะโดนก่อน คนพูดมากๆ โดนก่อนหมด ผมมีอำนาจของผมอยู่"
คำพูดดังกล่าวของเขา เป็นการย้ำให้เห็นเป็นครั้งแรกว่า "พร้อมที่จะอยู่ต่อ" ไปเรื่อยๆ จนกว่าบ้านเมืองจะสงบเรียบร้อย แต่ออกมาในความหมายที่ว่า "อยู่ด้วยความจำเป็น" ไม่ใช่ต้องการอยู่ หรือต้องการสืบทอดอำนาจ ซึ่งก็แล้วแต่มุมมอง บางคนมองว่า นี่คือการแบะท่าที่จะยื้อเวลาออกไป ขณะที่อีกฝ่ายก็บอกว่า นี่คือแผนการที่อยู่ในใจมาตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ดี ไม่ว่ามองในมุมไหน สถานการณ์เวลานี้ได้เดินมาถึงจุดที่ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกเรื่องต้องขมวดปมเข้ามา เชื่อว่านับจากนี้ ฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นฝ่ายกระทบหนักที่สุดก็ย่อมดิ้นรนต่อสู้อย่างเต็มกำลัง และคงสร้างความหนักใจให้อีกฝ่ายไม่น้อย แต่ถึงอย่างไร สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มองตามรูปการณ์แล้ว แม้จะต้องเจอศึกหนักกว่าเดิมเพราะ "เดิมพันสูง" แต่ในภาพรวมก็ยังเป็นต่อ เนื่องจากยังรักษาความศรัทธาจากประชาชนส่วนใหญ่ไว้ได้ และที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็เริ่ม"ปรับทัศนคติ "ไม่ค่อยเหมารวมมวลชนสองฝ่ายว่ามีความขัดแย้งเหมือนแต่ก่อน เริ่มพูดเน้นถึงเรื่องฝ่ายที่ทำผิดกฎหมายมากขึ้น
** การที่ไม่เหมารวม อีกด้านหนึ่งมันก็คือการรักษามวลชนกลุ่มใหญ่เอาไว้นั่นแหละ
**ถึงได้บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนนี้ไม่ธรรมดาก็แล้วกัน !!