วานนี้ (22ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาการโต้ตอบระหว่าง อดีตส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ กับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ว่า ต้องยอมว่าไม่มีใครสบายใจที่มีการตอบโต้กัน และเป็นคนในพรรคเดียวกัน เพราะทำให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชน ซึ่งปกติการประสานงานระหว่างกทม. กับ ส.ส. เวลามีการประชุมพรรค จะมีการเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาร่วมด้วย โดยในช่วงหลังมีฝ่ายบริหารมาร่วมประชุมกับส.ส. เพื่อให้รับรู้รับทราบปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงเรื่องร้องเรียนที่ได้รับมา แต่เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันมันไม่มีการประชุม ขณะที่อดีต ส.ส. ในพื้นที่ได้รับเรื่องร้องเรียนมา ทำให้ไม่มีช่องทางในการแสดงออก จึงทำให้เกิดเหตุขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ตนถือว่าทั้งนายวัชระ เพชรทอง และ นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.ของพรรค ก็มีหน้าที่ในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม โดยทั้ง 2 คน ยืนยันกับตนว่าไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นของนายวัชระ เรื่อง ซีซีทีวี นั้น ตนยังไม่ได้มีโอกาสพบกับ ผู้ว่าฯกทม. แต่คิดว่าสิ่งที่ ผู้ว่าฯกทม. จะต้องทำคือ ต้องไปดำเนินการให้เกิดความชัดเจน ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของกล้องวงจรปิด ซึ่งในขณะที่เกิดเหตุ ในบริเวณที่มีการขอภาพกันนั้น มันมีกล้องจำนวนหนึ่ง ซึ่งยังไม่ได้มีการส่งมอบตามสัญญา แต่ตนก็จะหาโอกาสพูดคุยกับ ผู้ว่าฯกทม. ให้ช่วยติดตามว่าจะช่วยอะไรกับผู้เสียหายได้บ้าง ทั้งการติดตามความคืบหน้าคดี และอำนวยความสะดวกเรื่องภาพ หรือในเรื่องอื่นๆ ขณะเดียวกัน ต้องทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องกล้อง CCTV ด้วย เพราะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันหลายเรื่อง ซึ่งการไม่ยากจะให้เป็นสงครามวาจานั้นถูกต้องแล้ว แต่การตรวจสอบกับสิ่งที่ถูกตรวจสอบ โดยเฉพาะในเชิงงานต่อประชาชน
ส่วนกรณีของนายวิลาศ ที่จะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. และ ป.ป.ง. ตรวจสอบ รองผู้ว่าฯกทม.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้คุยกับ นายวิลาศแล้ว ซึ่งเขาก็สามารถทำได้ หากมีข้อมูล หลักฐาน แต่ตนได้เตือนว่า การพูดอะไรต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการด้วย เพราะมีการพาดพิงถึง ผอ.เขตบางกอกใหญ่ ส่วนเรื่องการขอใบอนุญาตนั้น ตนเคยคุยกับผู้ว่าฯ กทม. ไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนทำนองนี้ค่อนข้างมาก และเมื่อรัฐบาลได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางราชการ ตนอยากให้ กทม. รื้อระบบตรงนี้ เพราะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาก
" ดีแล้วที่ท่านผู้ว่าฯ บอกไม่ต้องมาเป็นสงครามทางวาจากัน แต่เมื่อมีเรื่องร้องเรียนมา ก็ต้องมีคำตอบ และต้องแก้ไขไป รวมทั้งโครงการใดๆ ที่คุณวิลาศบอกว่าไม่โปร่งใส เช่น ไปซื้อสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น หรือไม่เป็นที่ต้องการ รวมถึงข้อกล่าวว่าเรื่องกำหนดสเปก กำหนดรายไหนด้วย โดยจะพูดคุยกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องทำให้ประชาชนสบายใจว่า พรรคฯไม่ได้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นเรื่องของการตรวจสอบ ส่วนวิธีการ รูปแบบ การให้สัมภาษณ์ เหมาะสมไม่เหมาะสมอย่างไรนั้น ก็เป็นประเด็นหนึ่ง และที่สำคัญ เรื่องการพาดพิงตัวบุคคลในที่เกี่ยวข้องกับงาน และประชาชน ทั้งผู้ว่าฯ และพรรคฯ ก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบสิ่งที่มันเกิดขึ้นในกทม. เรื่องนี้จะให้เงียบ หรือจบกันไป คงไม่ได้ และไม่เป็นธรรม เพราะเรากำลังพูดถึงประโยชน์ของประชาชน ก็อยากให้มีคำตอบ และหวังว่า จะมีการชี้แจงหรือการแก้ไขปัญหาต่างๆ ต่อไป เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจ"
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายในพรรค หรือกับ กลุ่มกปปส. หลายคนที่ไปร่วมกับ กปปส. ก็ยังเป็นสมาชิกพรรคฯอยู่ ยกเว้นกรณีของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน ที่ระบุว่า จะไม่หวนกลับมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนบุคคลอื่นก็ไม่เคยมีการปิดกั้นอะไรอยู่แล้ว ที่ผ่านมาต่างก็ทำหน้าที่ในเป้าหมายเดียวกัน ก็อยากเห็นการปฏิรูปประเทศ และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ ดังนั้น ตราบเท่าที่อุดมการณ์มุ่งไปสู่การปฏิรูปประเทศ ก็ไม่มีปัญหา ตนยืนยัน และขอปฏิเสธว่า พรรคได้ไปกีดกันคนที่เคยอยู่ที่ กปปส. แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นของนายวัชระ เรื่อง ซีซีทีวี นั้น ตนยังไม่ได้มีโอกาสพบกับ ผู้ว่าฯกทม. แต่คิดว่าสิ่งที่ ผู้ว่าฯกทม. จะต้องทำคือ ต้องไปดำเนินการให้เกิดความชัดเจน ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของกล้องวงจรปิด ซึ่งในขณะที่เกิดเหตุ ในบริเวณที่มีการขอภาพกันนั้น มันมีกล้องจำนวนหนึ่ง ซึ่งยังไม่ได้มีการส่งมอบตามสัญญา แต่ตนก็จะหาโอกาสพูดคุยกับ ผู้ว่าฯกทม. ให้ช่วยติดตามว่าจะช่วยอะไรกับผู้เสียหายได้บ้าง ทั้งการติดตามความคืบหน้าคดี และอำนวยความสะดวกเรื่องภาพ หรือในเรื่องอื่นๆ ขณะเดียวกัน ต้องทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องกล้อง CCTV ด้วย เพราะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันหลายเรื่อง ซึ่งการไม่ยากจะให้เป็นสงครามวาจานั้นถูกต้องแล้ว แต่การตรวจสอบกับสิ่งที่ถูกตรวจสอบ โดยเฉพาะในเชิงงานต่อประชาชน
ส่วนกรณีของนายวิลาศ ที่จะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. และ ป.ป.ง. ตรวจสอบ รองผู้ว่าฯกทม.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้คุยกับ นายวิลาศแล้ว ซึ่งเขาก็สามารถทำได้ หากมีข้อมูล หลักฐาน แต่ตนได้เตือนว่า การพูดอะไรต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการด้วย เพราะมีการพาดพิงถึง ผอ.เขตบางกอกใหญ่ ส่วนเรื่องการขอใบอนุญาตนั้น ตนเคยคุยกับผู้ว่าฯ กทม. ไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนทำนองนี้ค่อนข้างมาก และเมื่อรัฐบาลได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางราชการ ตนอยากให้ กทม. รื้อระบบตรงนี้ เพราะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาก
" ดีแล้วที่ท่านผู้ว่าฯ บอกไม่ต้องมาเป็นสงครามทางวาจากัน แต่เมื่อมีเรื่องร้องเรียนมา ก็ต้องมีคำตอบ และต้องแก้ไขไป รวมทั้งโครงการใดๆ ที่คุณวิลาศบอกว่าไม่โปร่งใส เช่น ไปซื้อสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น หรือไม่เป็นที่ต้องการ รวมถึงข้อกล่าวว่าเรื่องกำหนดสเปก กำหนดรายไหนด้วย โดยจะพูดคุยกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องทำให้ประชาชนสบายใจว่า พรรคฯไม่ได้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นเรื่องของการตรวจสอบ ส่วนวิธีการ รูปแบบ การให้สัมภาษณ์ เหมาะสมไม่เหมาะสมอย่างไรนั้น ก็เป็นประเด็นหนึ่ง และที่สำคัญ เรื่องการพาดพิงตัวบุคคลในที่เกี่ยวข้องกับงาน และประชาชน ทั้งผู้ว่าฯ และพรรคฯ ก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบสิ่งที่มันเกิดขึ้นในกทม. เรื่องนี้จะให้เงียบ หรือจบกันไป คงไม่ได้ และไม่เป็นธรรม เพราะเรากำลังพูดถึงประโยชน์ของประชาชน ก็อยากให้มีคำตอบ และหวังว่า จะมีการชี้แจงหรือการแก้ไขปัญหาต่างๆ ต่อไป เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจ"
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายในพรรค หรือกับ กลุ่มกปปส. หลายคนที่ไปร่วมกับ กปปส. ก็ยังเป็นสมาชิกพรรคฯอยู่ ยกเว้นกรณีของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน ที่ระบุว่า จะไม่หวนกลับมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนบุคคลอื่นก็ไม่เคยมีการปิดกั้นอะไรอยู่แล้ว ที่ผ่านมาต่างก็ทำหน้าที่ในเป้าหมายเดียวกัน ก็อยากเห็นการปฏิรูปประเทศ และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ ดังนั้น ตราบเท่าที่อุดมการณ์มุ่งไปสู่การปฏิรูปประเทศ ก็ไม่มีปัญหา ตนยืนยัน และขอปฏิเสธว่า พรรคได้ไปกีดกันคนที่เคยอยู่ที่ กปปส. แต่อย่างใด