“เราเองก็ไม่อยากพูดว่าเรามาสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่คนรอบนอกเขามอง เขามองอย่างนั้น แต่ถ้าถามตัวเราเองเราเข้ามาเพื่อมาเติมเต็ม เราอาจจะเป็นจิกซอร์ตัวหนึ่ง หรืออาจเป็นตัวสุดท้ายที่มาเติมเต็มงานอนุรักษ์ มาสนับสนุนงานของคนเหล่านี้”
“หมอล็อต-ภัทรพล มณีอ่อน” สัตวแพทย์สัตว์ป่าประจำกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชคนแรกของไทย ผู้บุกเบิกวงการสัตวแพทย์ไทยให้ขับเคลื่อนไปในวิถีทางที่ควรเป็น ท่ามกลางเสียงครวญของสรรพสัตว์และหยาดน้ำตาจากธรรมชาติ เขาคือตัวแทนผู้กล้าหาญเพื่อสื่อความหมายเหล่านั้น ทว่า การก้าวเท้ารับหน้าที่หมอรักษาสัตว์ป่าที่มีคนไทยทั้งประเทศเป็นเจ้าของ ถือเป็นความท้าทายที่เขาต้องเผชิญ. .
“ความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นคือ กรมป่าไม้ กรมอุทยานเป็นหน่วยงานด้านอนุรักษ์ที่ 100 กว่าปี ไม่มีสัตวแพทย์ ซึ่งตอนนี้เกิดการยอมรับในบทบาทของวิชาชีพสัตวแพทย์กับงานอนุรักษ์” หรือนี่อาจจะเป็นผลผลิตของสิ่งที่เขาได้ลงแรงลงใจต่อสู้เพื่อสัตว์ป่าและธรรมชาติมาเป็นเวลากว่า 10 ปีกันแน่ !?
50/50 ชีวิตป่า-เมือง
“ขณะที่เรากำลังซีเรียสกับการทำงานอยู่หน้าจอคอม นั่นคือเรากำลังใช้พลังไป พลังเรากำลังจะหมดกับการใช้สมอง แรงกายต้องคิดต้องทำ แต่ถ้าเราเลือกสภาพแวดล้อมที่ดี มันจะเป็นตัวคอยทดแทนพลังงานที่เราเสียไปได้ตลอดเวลา”
หมอล็อต-ภัทรพล เปรยให้ฟังหลังสิ้นคำถามที่ใครหลายคนต่างสงสัยว่า เหตุใดผู้ชายคนนี้ถึงมีบุคลิกมาดเท่ ชอบลุย และรักการทำกิจกรรม บ้างชอบออกนอกสถานที่อยู่บ่อยครั้ง สิ่งหนึ่งที่สามารถอธิบายคำตอบของคำถามได้ดีนั่นคือ การใช้ธรรมชาติบำบัดและให้สิ่งแวดล้อมเป็นตัวช่วยในการทดแทนสิ่งที่เสียไป
“เสียงนก สายลมที่พัดผ่าน ธรรมชาติ นั่งทำงานหน้าจอคอมเมื่อยตาก็ไปมองต้นไม้ มันคือสิ่งที่ทดแทนเราได้ตลอดเวลา อย่าลืมว่าเราคือสิ่งหนึ่งในสังคม ถ้าเราได้เห็นความเป็นไปของสังคม เห็นความเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหว บางครั้งการเห็นคนที่เราคิดว่าชีวิตเราลำบาก มันเหนื่อย มันท้อ แต่เรามายืนในสังคมและหันมองรอบๆ มันมีคนลำบากกว่าเรา มันมีคนที่แย่กว่าเราอีกเยอะ”
ไม่เพียงให้ธรรมชาติเป็นตัวถ่ายเทพลังงานดีๆ ให้แก่มนุษย์เท่านั้น การออกไปมองโลกนอกหน้าต่าง ยังทำให้คนเราเห็นสิ่งต่างๆ ที่เป็นไปอีกมาก ทุกสิ่งย่อมมีส่วนในการสร้างแรงผลักดันให้เราอยู่เสมอ ชีวิตคนก็เช่นกัน มีคนอีกมากที่เหน็ดเหนื่อยและลำบากกว่าอยู่ข้างนอกนั่น นี่คือสิ่งที่หมอล็อตพยายามอธิบายได้ให้เข้าใจ
“มีคนที่เขาถือถุงรอขึ้นรถเมล์ ในขณะที่เรานั่งรถผ่านไป เป้าหมายในชีวิตเขา เขาจะไปที่ไหน เขาจะไปบ้านเขาจะต่อวินมอไซด์ ฝนจะตก น้ำจะท่วม หรือเขาต้องไปที่ไหนต่อหรือเปล่า แต่เรายังอยู่ในรถยังมีแอร์ ยังขับไปถึงบ้านได้ ยังไม่โดนแดดไม่โดนลม
เพราะฉะนั้นในการสร้างพลังให้กับตัวเองให้รู้สึกดี เราพยายามเอาสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในชุมชนเมือง สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในธรรมชาติ เราเอาสิ่งเหล่านี้เป็นตัวปรับสมดุลความรู้สึกและชีวิตของเรา”
จากที่เห็นคงคิดว่าหมอล็อตใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในป่าเป็นแน่แท้ เพราะด้วยหน้าที่-การงาน ซึ่งถูกพันธนาการให้ต้องเกี่ยวข้องกับป่าดงพงไพรอยู่เสมอ ความจริงแล้วการใช้ชีวิตระหว่างในป่ากับในเมืองของคุณหมอมาดเท่วัดเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบเท่าครึ่งต่อครึ่ง
“เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกท้อ ต้องการพลัง พื้นฐานของชีวิตเราก็คือธรรมชาติ เราต้องใช้ธรรมชาติบำบัด ในขณะเดียวกันพอธรรมชาติบำบัดเราได้แล้ว แน่นอนโลก-สังคมมันต้องหมุนไป เราต้องกลับมาสู่สังคมเมืองและก้าวไปให้ทันกับสิ่งที่มันหมุนไป ไม่ใช่ว่าชีวิตเราจะอยู่ในป่าอย่างเดียว จนเราลืมความเป็นในเมือง เราจะลืมฟันเฟืองในการขับเคลื่อนของสังคมมนุษย์ไม่ได้ เพราะงั้นชีวิตเรา 50/50 อยู่ในป่ากับในเมือง”
“GIVE & SHARE” หมอสัตว์ป่าคนแรกของไทย !
ระยะเวลากว่า 10 ปีได้ที่เขาทุ่มเทแรงกาย-แรงใจให้กับงานอนุรักษ์ฯ หากจะเรียกว่าเขาคือผู้บุกเบิกคนสำคัญของวงการสัตวแพทย์สัตว์ป่าไทยคงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเขาคือหมอสัตว์ป่าคนแรกของไทยที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ แต่แรงขับเคลื่อนจะสำเร็จไม่ได้หากขาดผู้ริเริ่มในการผลักดันที่ทำให้ประเทศไทยมีสัตวแพทย์สัตว์ป่าถึงทุกวันนี้
“การที่ประเทศไทยมีสัตวแพทย์สัตว์ป่าถึงทุกวันนี้ได้นั้น เริ่มต้นจากการผลักดันของท่าน ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ท่าน เกษมสันต์ จิณณวาโส ซึ่ง 10 กว่าปีที่แล้วท่านผลักดันการทำงานของสัตวแพทย์ในกรมอุทยานเอง
ในฐานะที่ท่านเป็นรองอธิบดีฯ ท่านมีมุมมอง มีแนวความคิดค่อนข้างชัดเจน ท่านเห็นว่ามันมีความจำเป็นและท่านก็ผลักดันมันในทุกยุคทุกสมัย ณ เวลานี้ถือว่าท่านเป็นผู้มีคุณูปการมากกับวงการสัตวแพทย์ไทย”
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน จากบัณฑิตหนุ่มไฟแรงจากคณะสัตวแพทย์ เดินทางมุ่งหน้าสู่อ้อมอกบ้านเกิดจังหวัดสุรินทร์เพื่อเป็นหมอรักษาช้าง ทว่า เพื่อนในรุ่นคนอื่นๆ ต่างดำเนินตามวิถีทางของคนเป็นหมอสัตว์ บ้างเปิดคลีนิค ทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับการรักษาสัตว์ และเป็นหมอตามโรงพยาบาลต่างๆ แต่เขากลับเป็นลูกจ้างธรรมดาในหน่วยงานรัฐฯ เท่านั้น
“จบมาใหม่ๆ เราไปเป็นหมอรักษาช้างอยู่ที่บ้านจังหวัดสุรินทร์ เป็นหมอรักษาช้างเลี้ยงทั่วไป ส่วนเพื่อนๆ เราหลายๆ คนไปเป็นหมออยู่บริษัท เปิดธุรกิจส่วนตัว เปิดคลีนิค อยู่โรงพยาบาล รายได้ก็จะสูง ส่วนเราเองมาอยู่ที่หน่วยงานของกรมปศุสัตว์ สถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติที่สุรินทร์เป็นลูกจ้างธรรมดา แต่อย่างน้อยก็ได้อยู่กับพ่อแม่ และตัวเราเองก็ชอบช้าง”
เขาเล่าต่อไปถึงความจริงของสังคมที่คนส่วนใหญ่เรียนจบมา มักมองหาหนทางเพื่อตอบแทนสิ่งที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมาด้วยความเหนื่อยยาก โดยเฉพาะกับอาชีพหมอที่แน่นอนว่ากว่าจะประสบความสำเร็จจากรั้วมหา'ลัย ใช้เวลามากกว่า 5 ปี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คนส่วนมากมุ่งหน้าทำในสิ่งที่เขาคาดหวังจะได้รับจากสังคม
ในขณะที่สังคมกลับมองว่า คนเหล่านั้นจะสร้างประโยชน์และให้อะไรกับสังคมได้บ้าง และนี่คือมุมมองความคิดของคุณหมอที่ทำให้ทีมงานเห็นด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้
“ด้วยความเป็นหมอ บัณฑิตจบใหม่จะคิดอยู่เสมอว่าความยากลำบาก ความทุ่มเท เสียสละของการเรียนกว่าจะจบหมอได้ มันหนักหนาสากันมาก เขาจะได้อะไรจากสังคมบ้าง เขาเลยมุ่งหน้าไปทำในสิ่งที่เขาคิดว่าเขาควรจะได้กับสิ่งที่เขาสูญเสียไป แต่ในขณะเดียวกันสังคมกลับมองหมอหรือมองบัณฑิตว่าคนที่จบมาจะให้อะไรกับสังคมบ้าง”
จากที่ได้ทำงานในฐานะหมอรักษาช้างในจังหวัดสุรินทร์ ทำให้เขาเองได้รู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างคนกับสัตว์ เช่นเดียวกับการรักษาช้างเจ็บป่วยที่เข้ามาในแต่ละวัน ซึ่งแท้จริงแล้วปัญหาช้างคงเป็นเรื่องของคุณภาพชีวิตของช้างและควาญช้างเสียมากกว่า นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นตัวแทนสื่อความหมายเหล่านั้น
“ด้วยความที่ซึมซับถ่ายทอดปัญหาต่างๆ ของชาวบ้านและควาญช้าง เราเลยคิดว่าการรักษาช้างวันหนึ่งๆ มันไม่จบ รักษาตัวนี้หาย อีกวันตัวนี้ก็เจ็บ วนเวียนแบบนี้ตลอด ทั้งๆ ที่ปัญหาช้างจริงๆ มันน่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพชีวิตของช้างและควาญช้าง พอเราซึมซับข้อมูลเหล่านี้มามากๆ เราเลยคิดว่าเราน่าจะเป็นคนสื่อความหมายในระดับนโยบาย เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาในภาพรวม”
ด้วยความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาช้างไทยและเป็นผู้สื่อปัญหาเหล่านั้นให้สังคมได้รับรู้ เขาจึงถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมคณะในรัฐสภาให้เป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนวงการช้างไทย การก้าวเท้าเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปจากเดิม
“พอทำงานได้ 8 เดือน ปรากฏว่าทางคณะกรรมธิการสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภาเขาก็ตั้งคณะอนุฯ ขึ้นมา เพื่อทำการศึกษาและแก้ไขปัญหาช้างเลี้ยงและช้างป่าในประเทศไทยโดยเฉพาะ ได้เชิญให้เข้าร่วมในคณะ ชีวิตก็เปลี่ยนเลยจากใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ใส่เสื้อกล้ามไปรักษาช้าง จนมาใส่สูท ผูกไทด์อยู่รัฐสภา”
'ฮีโร่' ไม่ได้มีแค่ 'คนเดียว'
“เขามองว่าเราคือฮีโร่ เนื่องจากงานของเรามันอยู่ในป่า มันต้องลุย ต้องบู๊ ภาพสะท้อนของสังคมกับตัวเราคือการเสียสละทุ่มเท แท้จริงแล้วเราไม่ใช่คนเสียสละทุ่มเท” สิ้นเสียงบอกเล่าจากหมอรักษาสัตว์ป่าที่ใครหลายคนต่างเชื่อว่า เขาคือผู้พิทักษ์วงการสัตว์ป่าไทยและนักอนุรักษ์ธรรมชาติจากภาพภายนอกที่ถูกตัดสินว่าเป็นเช่นนั้น
การทำงานที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าสัตว์แพทย์ที่รักษาสัตว์ตามคลีนิคในเมือง หรือสัตวแพทย์สัตว์ป่าเช่นหมอล็อต แม้ว่าหลายคนอาจมองว่าการรักษาสัตว์ที่มีเจ้าของน่าจะยุ่งยากมากกว่า เพราะมีเรื่องของคนมาเกี่ยวข้อง ทว่า การรักษาสัตว์ป่าในพื้นที่ป่าจริงๆ คือความยากที่ไม่อาจอธิบายได้ เพราะสัตว์ป่าเหล่านั้นมีเจ้าของคือคนไทยทั้งประเทศ
“เรารักษาสัตว์ แน่นอนว่าหมอทั่วไปรักษาสัตว์ต้องมีค่าตอบแทน แต่งานเรารักษาสัตว์ไม่มีค่าตอบแทน เรามีเงินเดือน ซึ่งเงินเดือนที่เราได้มาคือ ประชาชนทุกคนเสียภาษี ส่วนสัตว์ป่าที่เรารักษาในป่าคนไทยคือเจ้าของทั้งประเทศ
การทำงานกับสัตว์เลี้ยงก็จะมีหมอ มีเจ้าของสัตว์ และสัตว์ หรือบางทีทำงานกับสัตว์เลี้ยงที่มีคนมาเกี่ยวข้องมันก็จะปวดหัว บางคนจะคิดว่าดีแล้วที่ทำงานกับสัตว์ป่าไม่ต้องเจอคน แต่พอเราไปทำงานกับสัตว์ป่าจริงๆ ซึ่งเจ้าของคือคนทั้งประเทศ มันวุ่นวายกว่าอีก”
แน่นอนเมื่อเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ป่าที่มีเจ้าของคือคนทั้งประเทศ ผลของการคาดหวังในผลงานย่อมทะยานสูงตามไปด้วย หมอล็อตขยายความให้ฟังต่อถึงแรงกดดันที่สังคมคาดหวังไว้ว่าต้องการให้สมบูรณ์แบบที่สุด ทว่า เขาอาจเป็นเพียงหมอธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาเป็นบททดสอบเขาจึงต้องทำมันออกมาให้ดีที่สุด
“การทำงานเราทำงานกับสัตว์ป่าในป่า สังคมอยากให้เราเป็นเพอร์เฟสชันนิส ต้องเพอร์เฟคทุกอย่าง ต้องดีที่สุด ต้องดีพร้อมทุกอย่าง แต่ข้อจำกัดในการทำงาน คุณไม่มีไฟฟ้า คุณไม่มีอาคาร ไม่มีโรงพยาบาล สัตว์ป่าบาดเจ็บมักจะโผล่ให้คุณเห็น
แต่การรักษาจะไม่เกิดขึ้นถ้าคุณตามหาคนไข้ไม่เจอ ในการทำงานเราไม่สามารถเป็นเพอร์เฟสชันนิสได้ เราเป็นแค่เพียงแพคทิสชันเนอร์ แต่ในสถานการณ์ที่เราต้องทำงานตรงนั้น ทำยังไงเราถึงจะเป็นแพคทิสชันเนอร์ที่ดีได้”
มันคงเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญในทุกๆ วันตลอดระยะเวลาการทำหน้าที่ตรงนี้ การใช้ไหวพริบ การประสานงาน และความเป็นทีมเวิร์ค ล้วนมีผลช่วยให้ภารกิจต่างๆ ลุล่วงไปได้ด้วยดี หมอล็อตยังเปรยให้ฟังแกมตลกอีกว่าการเป็นหมอสัตว์ป่าไม่ใช่เป็นแค่หมอ แต่ต้องประยุกต์เอาอาชีพหลายๆ อาชีพมารวมกันด้วย
“นี่คือความท้าทายในการทำงาน การใช้ไหวพริบ การใช้ปฏิธานในการทำงาน การประสานงาน การใช้สิ่งรอบตัวในป่าเป็นตัวสนับสนุนช่วยในการปฏิบัติภารกิจ การเป็นหมอสัตว์ป่าคนเราเอง เราต้องเป็นมากกว่าสัตวแพทย์ ต้องเป็นทั้งนักจิตวิทยา นักศิลปกรรมศาสตร์ นักนิติศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นักกีฬา เป็นทุกนักที่มากกว่าสัตวแพทย์” (ยิ้ม)
ย้อนกลับไปคำถามที่ว่าคนไทยส่วนมากพร้อมใจกันมอบเสื้อเกราะให้หมอล็อตในฐานะฮีโร่ผู้พิทักษ์สัตว์ป่าไปเสียแล้ว ภาพลักษณ์ขาลุย ขาบู๊ ช่วยเหลือดูแลรักษาสัตว์ป่า อาจทำให้หลายคนยกย่องว่าเขาคือพระเอกของเรื่องนี้ ซึ่งตัวหมอล็อตเองออกปากกับทีมงานตลอดการสัมภาษณ์ว่า 'ผมไม่ใช่ฮีโร่' และนี่คือคำอธิบายถึงประโยคข้างต้นนี้
“ในอดีตเราจะมองว่าฮีโร่จะต้องมีหนึ่งเดียว แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนดูหนังก็รู้แล้วว่ามันมี 'The adventure' ฮีโร่ต้องมีหลายคน สังคมต้องการฮีโร่ แต่สังคมไม่ได้มีข้อกำหนดอะไรว่าจะต้องมีฮีโร่แค่คนเดียว เพราะฉะนั้นถ้ามันมีฮีโร่มากกว่าหนึ่ง
แน่นอนประสิทธิภาพมันก็เพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว ขณะเดียวกันศัตรูใหม่ๆ ผู้ต่อสู้ใหม่ๆ มันก็เพิ่มขึ้นและทวีความเข้มแข็งมากขึ้น เราจึงต้องการฮีโร่ที่มีหลากหลายที่มีมากมาย เราคือดิแอดเวนเจอร์ เราถนัดด้านไหน เราต้องไปร่วมมือกับใคร และค่อยไปสู้กับมัน”
“นักบาส-สิงห์นักปั่น” นี่แหละชีวิตนอกป่า!
การใช้ชีวิตนอกป่าของหมอล็อตเป็นอย่างไรน่ะหรือ? สังเกตจากบุคลิกภายนอกแล้ว แน่นอนว่ากิจกรรมที่เขาชื่นชอบคงหนีไม่พ้นการเล่นกีฬา ซึ่งกีฬาที่หมอล็อตให้ความสนใจมาตั้งแต่ช่วงชั้นมัธยมปลายคือ กีฬาบาสเก็ตบอล ถึงแม้ปัจจุบันอายุจะมากขึ้นแต่พละกำลัง ความแข็งแกร่งไม่เคยลดลงตามเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป
“ส่วนตัวเราเองก็มีพรรคพวก มีเพื่อนๆ และมันจะมีทัวร์นาเมนท์แข่งก็จะชวนกันไปแข่ง มันจะมีรุ่นประชาชนทั่วไป รุ่นอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งถ้ามอง 35 ปี บางคนอาจจะคิดว่าแก่ แต่ที่ไหนได้เวลาเล่นจริงๆ รุ่น 35 ปี เล่นยากกว่ารุ่นประชาชนอีก
เพราะรุ่น 35 ปีเป็นรุ่นที่แต่ละคนเพาะบ่มประสบการณ์มาตลอดชีวิตการเล่นบาส เก๋า เก่ง แต่ข้อด้อยคือแรงก็จะไม่ฟิตเหมือนรุ่นประชาชนทั่วไป เวลาเล่นจริงๆ พวก 35 ปี เป็นพวกไม่ยอมรับว่าตัวเองแก่ ไม่ยอมแพ้ เพราะงั้นในอดีตเคยวิ่ง เคยเหาะได้ยังไง ปัจจุบันก็คิดว่าต้องทำให้ได้ เวลาแข่งจริงๆ พวกนี้จัดเต็ม ไม่ยอมแก่กัน” (หัวเราะ)
นอกเหนือกีฬาบาสเก็ตบอลที่หมอล็อตให้ความสนใจแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่เขาเผยให้ทีมงานฟังว่า เพิ่งเริ่มสนใจช่วงหลังมานี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการต้องทำงานในป่า จึงทำให้ต้องใช้ภาหนะที่เป็นมิตรกับสัตว์ป่าตามไปด้วย การเลือกใช้จักรยานจึงเป็นการลดมลพิษทางเสียงได้ดี รวมถึงช่วยในเรื่องสุขภาพด้วย
“การปั่นจักรยานสนใจช่วงหลัง เพราะว่าเราทำงานในพื้นที่ธรรมชาติ เวลาที่เราเดินทางในพื้นที่เหล่านี้ เสียงมันมีผลต่อสัตว์ป่าพอสมควร เพราะในป่าคือบ้านของสัตว์ป่า และหูสัตว์ป่าจะได้ยินเสียงรถยนต์ เสียงมอเตอร์ไซด์ได้ไวมาก ถ้าเกิดตกใจวิ่งหนี วิ่งชนกัน เกิดอุบัติเหตุตามมา แต่ถ้าใช้จักรยานมันก็ลดมลพิษทางเสียงได้เป็นอย่างดี”
หมอล็อตยังเล่าต่อไปว่าการปั่นจักรยานคือตัวช่วยเรื่องการเจ็บข้อเข่าได้ดีทีเดียว ยิ่งเป็นคนชอบเล่นกีฬาบาสเก็ตบอลแล้วด้วย การปั่นจักรยานถือเป็นการช่วยรักษาสภาพเข่าและกล้ามเนื้อได้อีกทาง ซึ่งตอนนี้อุทยานในหลายๆ ที่ได้ดำเนินการเพิ่มเลนจักรยานสำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยเช่นเดียวกัน
“ในขณะเดียวกันจักรยานคือ ตัวออกกำลังกายที่ดี พอเราอายุเท่านี้เราแข่งกีฬาเล่นบาสใช้เข่าเยอะ จักรยานคือตัวรักษาสภาพเข่า สภาพกล้ามเนื้อของเราได้ค่อนข้างดี และด้วยความที่โอกาสเราเอื้ออำนวย ในกรมอุทยานแห่งชาติถนนก็ดี ตอนนี้กรมอุทยานกำหนดให้หลายๆ อุทยานทำเลนจักรยานให้นักท่องเที่ยวมาปั่นพักผ่อนหย่อนใจ เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อีกวิถีหนึ่ง”
การเข้าร่วมกิจกรรมการปั่นของสิงห์นักปั่นมาดเท่คนนี้มีด้วยกันหลายโครงการ หนึ่งในโครงการที่เขาเองยกตัวอย่างให้ทีมงานฟังคือ กลุ่มปั่นจักรยาน Bike Finder คือการท่องเที่ยวเพื่อสร้างสรรค์ และยังเป็นกลุ่มที่นักปั่นให้ความสนใจเป็นจำนวนมากอีกด้วย
“เรามีกลุ่มปั่นจักรยาน Bike Finder การท่องเที่ยวเพื่อสร้างสรรค์ ตอนนี้ในพื้นที่อนุรักษ์หลายๆ ที่มีนักปั่นจักรยานมาปั่นกันเยอะมาก ซึ่งเวลาเรามาปั่นทุกคนมีความสุข อย่างเวลาไปปั่นที่เขาใหญ่ มีคำถามขึ้นมาว่าคุณได้อะไรจากเขาใหญ่เยอะ แต่เขาใหญ่ได้อะไรจากคุณ ทั้งเรื่องของขยะ การให้อาหารสัตว์ป่า การส่งเสียงดัง”
จากคำถามที่ถูกเอ่ยขึ้นมา นำไปสู่คำตอบที่ว่าแล้วธรรมชาติจะได้อะไรจากนักท่องเที่ยวเหล่านี้บ้าง ในฐานะที่เราเป็นผู้แสวงหาความสุขสงบจากธรรมชาติ แล้วการตอบแทนจะเป็นไปในรูปแบบใด กลุ่ม Bike Finder จึงเป็นผู้ริเริ่มจัดกิจกรรมให้นักปั่นทำกิจกรรมร่วมกับธรรมชาติได้อย่างไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบกันและกัน
“พอเราพูดแบบนี้ออกไปมันมีการสะท้อนกลับมาว่า แล้วเราจะช่วยอะไรเขาใหญ่ได้บ้าง ในฐานะที่เรามาแล้วเราก็ได้ ทำยังไงให้เราวิน-วินทั้งคู่ เราเลยมาจัดกิจกรรมให้นักปั่นสามารถช่วยเหลือธรรมชาติและสัตว์ป่าไปในตัวได้ด้วย เช่น ปั่นจักรยานไปทำโป่ง ไปปลูกพืชให้สัตว์ป่า ไปทำแหล่งทุ่งหญ้า ไปทำฝาย เพราะฉะนั้นกลุ่ม Bike Finder จะเป็นกลุ่มกิจกรรมแรกที่เข้ามา แล้วมีการจัดกิจกรรมเสริมสำหรับนักปั่นจักรยานด้วย”
เรื่องโดย พิมพรรณ มีชัยศรี
ขอบคุณภาพประกอบจากเฟซบุค Patarapol Lotter Maneeorn
รับสมัครเพื่อนร่วมงาน