ASTVผู้จัดการรายวัน-ตำรวจรวบตัว "วีระพัน" หนุ่มลาวหลบหนีเข้าเมือง ก่อเหตุชิงทรัพย์ ข่มขู่ประชาชนหลายพื้นที่ จนได้ฉายา "มาเฟียสยาม" ผู้เสียหายแค้นจัดปรี่เข้ารุมทำร้าย ขณะชี้ถูกนำตัวมาแถลงข่าวที่ บช.น. จนเกิดเหตุชุลมุน เบื้องต้นแจ้งข้อหาหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำร้ายร่างกายผู้อื่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (9 ก.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน พ.ต.อ.สินมนูญ์ รอง ผบก.น.6 พ.ต.อ.จารุต ศรุตยาพร ผกก.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.อาทิตย์ ซิ้มเจริญ รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.ภูเมศ อั๊งสุวรรณกูล สว.สส.สน.ปทุมวัน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน แถลงผลการจับกุมนายวีระพัน อินทะวง หรือเฒ่า อายุ 38 ปี สัญชาติลาว โดยสามารถจับกุมได้ที่ห้องปฏิบัติการฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 8 ก.ย.เวลา 18.00 น. ที่ผ่านมา ในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
พ.ต.อ.จารุต กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.ย. เวลาประมาณ 11.00 น. น.ส.วัลลภา ตระกูลแพร่หลาย อายุ 23 ปี ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวันว่า ขณะที่เดินเข้าภายในสถานีหัวลำโพง รถไฟฟ้าใต้ดิน ได้ถูกคนร้ายเป็นชาย 1 คน ใช้วาจาข่มขู่และใช้กำลังทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและหลบหนีไป ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้นำภาพของคนร้ายที่ก่อเหตุไปเผยแพร่ในโซเซียลมีเดีย ปรากฏว่าได้มีผู้เสียหายอีกจำนวนมากแจ้งพฤติกรรมคนร้ายว่าเคยไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณย่านสยามสแควร์ จนได้รับตั้งฉายาในโลกโซเซียลว่า “มาฟียสยาม” จนกระทั้งเมื่อวันที่ 8 ก.ย. เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจุบกุมได้สืบสวนทราบว่า มีชายต้องสงสัยลักษณะคล้ายคนร้ายที่ก่อเหตุ ไปปรากฏตัวอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดินสุทธิสาร จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบชายคนดังกล่าว จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่ชายคนดังกล่าวมีท่าทีพิรุธ และให้การวกวน ทางเจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน
จากการสอบสวนทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุชื่อนายวีระพัน สัญชาติลาว ได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลตามภาพถ่ายที่ปรากฏในโซเชียลมีเดีย กรณีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายหลายรายก่อนหลบหนี ทางเจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาว่า เป็นบุคคลต่างด้าว หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูล ยังพบว่า นายวีระพัน ได้ก่อเหตุในลักษณะนี้ จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 ก่อเหตุในพื้นที่ สน.พญาไท เมื่อวันที่ 10 ส.ค. เวลาประมาณ 14.00 น. นายวีระพันได้ว่าจ้างให้ น.ส.ศศิวิมล วงศ์มั่น ไปนวดที่โรงแรมบางกอกเพรส จากนั้นนายวีระพันได้ขอยืมโทรศัพท์มือถือ โดยอ้างว่าติดต่อมารดาที่อยู่ต่างประเทศ จากนั้นอาศัยจังหวะที่ น.ส.ศศิวิมลเผลอ ชิงโทรศัพท์หลบหนีไป และครั้งที่ 2 ในพื้นที่ สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 12 ส.ค. เวลาประมาณ 16.00น. บริเวณชั้น 6 หน้าโรงแรมภาพยนตร์ภายในห้างสรรพสินค้าพารากอน นายวีระพันใช้ขวดพลาสติกฟาดที่ใบหน้าของนายพศวัต บัณดิษฐ์ศิลป์ อายุ 17 ปี พร้อมพูดจาข่มขู่ก่อนจะหลบหนีไป
ด้าน พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่านายวีระพันได้เข้ามาทำงานในประเทศไทย และเคยคลุกคลีอยู่ในบ่อนการพนัน โดยอ้างว่าเป็นลูกน้องของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ส่วนบางข้อที่ไม่ยอมรับนั้น ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล หากเจ้าหน้าที่มีหลักฐานก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย สำหรับภาพจากคลิปที่ผู้ต้องหากำลังก่อเหตุนั้น คาดว่าจะก่อเหตุในหลายพื้นที่ ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างประสานไปยังเจ้าของพื้นที่นั้นๆ ว่าได้มีการแจ้งความร้องทุกข์เกี่ยวกับผู้ต้องหารายนี้หรือไม่ ส่วนการติดต่อไปยังแฟนสาวของผู้ต้องหา ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการเชิญตัวมาสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน จึงขอฝากประชาสัมพันธ์หากมีผู้เสียหายรายอื่นที่ถูกกระทำในลักษณะเดียวกัน หรือว่าถูกทำร้าย หรือถูกลักทรัพย์ ให้มาดูตัวผู้ต้องหาที่ สน.ปทุมวัน ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอย่างเด็จขาด เพราะเป็นนโนบายสำคัญของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ทั้งนี้ นายวีระพันถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นบุคคลต่างด้าว หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ทางเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นศาล เนื่องจากว่าเป็นบุคคลต่างด้าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีกลุ่มผู้เสียหายจำนวนมากมารอบริเวณโดยรอบของสถานที่แถลงข่าว และมีเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนจำนวน 10 กว่านาย มาดูแลความเรียบร้อยขณะแถลงข่าว ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่เชิญตัวผู้เสียหายมาชี้ตัวผู้ต้องหานั้น ผู้เสียหายได้ตบเข้าที่หน้าผากนายวีระพัน 3 ครั้ง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาห้าม และหลังจากแถลงข่าวเสร็จ ได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุน ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังควบคุมตัวนายวีระพันอยู่นั้น ได้มีกลุ่มของผู้เสียหายเข้ามารุมทำร้ายร่างกายนายวีระพัน เจ้าหน้าที่จึงรีบควบคุมตัวนายวีระพันขึ้นรถ เพื่อกลับไปที่สน.ปทุมวันทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (9 ก.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน พ.ต.อ.สินมนูญ์ รอง ผบก.น.6 พ.ต.อ.จารุต ศรุตยาพร ผกก.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.อาทิตย์ ซิ้มเจริญ รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.ภูเมศ อั๊งสุวรรณกูล สว.สส.สน.ปทุมวัน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน แถลงผลการจับกุมนายวีระพัน อินทะวง หรือเฒ่า อายุ 38 ปี สัญชาติลาว โดยสามารถจับกุมได้ที่ห้องปฏิบัติการฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 8 ก.ย.เวลา 18.00 น. ที่ผ่านมา ในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
พ.ต.อ.จารุต กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.ย. เวลาประมาณ 11.00 น. น.ส.วัลลภา ตระกูลแพร่หลาย อายุ 23 ปี ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวันว่า ขณะที่เดินเข้าภายในสถานีหัวลำโพง รถไฟฟ้าใต้ดิน ได้ถูกคนร้ายเป็นชาย 1 คน ใช้วาจาข่มขู่และใช้กำลังทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและหลบหนีไป ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้นำภาพของคนร้ายที่ก่อเหตุไปเผยแพร่ในโซเซียลมีเดีย ปรากฏว่าได้มีผู้เสียหายอีกจำนวนมากแจ้งพฤติกรรมคนร้ายว่าเคยไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณย่านสยามสแควร์ จนได้รับตั้งฉายาในโลกโซเซียลว่า “มาฟียสยาม” จนกระทั้งเมื่อวันที่ 8 ก.ย. เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจุบกุมได้สืบสวนทราบว่า มีชายต้องสงสัยลักษณะคล้ายคนร้ายที่ก่อเหตุ ไปปรากฏตัวอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดินสุทธิสาร จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบชายคนดังกล่าว จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่ชายคนดังกล่าวมีท่าทีพิรุธ และให้การวกวน ทางเจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน
จากการสอบสวนทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุชื่อนายวีระพัน สัญชาติลาว ได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลตามภาพถ่ายที่ปรากฏในโซเชียลมีเดีย กรณีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายหลายรายก่อนหลบหนี ทางเจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาว่า เป็นบุคคลต่างด้าว หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูล ยังพบว่า นายวีระพัน ได้ก่อเหตุในลักษณะนี้ จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 ก่อเหตุในพื้นที่ สน.พญาไท เมื่อวันที่ 10 ส.ค. เวลาประมาณ 14.00 น. นายวีระพันได้ว่าจ้างให้ น.ส.ศศิวิมล วงศ์มั่น ไปนวดที่โรงแรมบางกอกเพรส จากนั้นนายวีระพันได้ขอยืมโทรศัพท์มือถือ โดยอ้างว่าติดต่อมารดาที่อยู่ต่างประเทศ จากนั้นอาศัยจังหวะที่ น.ส.ศศิวิมลเผลอ ชิงโทรศัพท์หลบหนีไป และครั้งที่ 2 ในพื้นที่ สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 12 ส.ค. เวลาประมาณ 16.00น. บริเวณชั้น 6 หน้าโรงแรมภาพยนตร์ภายในห้างสรรพสินค้าพารากอน นายวีระพันใช้ขวดพลาสติกฟาดที่ใบหน้าของนายพศวัต บัณดิษฐ์ศิลป์ อายุ 17 ปี พร้อมพูดจาข่มขู่ก่อนจะหลบหนีไป
ด้าน พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่านายวีระพันได้เข้ามาทำงานในประเทศไทย และเคยคลุกคลีอยู่ในบ่อนการพนัน โดยอ้างว่าเป็นลูกน้องของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ส่วนบางข้อที่ไม่ยอมรับนั้น ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล หากเจ้าหน้าที่มีหลักฐานก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย สำหรับภาพจากคลิปที่ผู้ต้องหากำลังก่อเหตุนั้น คาดว่าจะก่อเหตุในหลายพื้นที่ ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างประสานไปยังเจ้าของพื้นที่นั้นๆ ว่าได้มีการแจ้งความร้องทุกข์เกี่ยวกับผู้ต้องหารายนี้หรือไม่ ส่วนการติดต่อไปยังแฟนสาวของผู้ต้องหา ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการเชิญตัวมาสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน จึงขอฝากประชาสัมพันธ์หากมีผู้เสียหายรายอื่นที่ถูกกระทำในลักษณะเดียวกัน หรือว่าถูกทำร้าย หรือถูกลักทรัพย์ ให้มาดูตัวผู้ต้องหาที่ สน.ปทุมวัน ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอย่างเด็จขาด เพราะเป็นนโนบายสำคัญของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ทั้งนี้ นายวีระพันถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นบุคคลต่างด้าว หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ทางเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นศาล เนื่องจากว่าเป็นบุคคลต่างด้าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีกลุ่มผู้เสียหายจำนวนมากมารอบริเวณโดยรอบของสถานที่แถลงข่าว และมีเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนจำนวน 10 กว่านาย มาดูแลความเรียบร้อยขณะแถลงข่าว ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่เชิญตัวผู้เสียหายมาชี้ตัวผู้ต้องหานั้น ผู้เสียหายได้ตบเข้าที่หน้าผากนายวีระพัน 3 ครั้ง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาห้าม และหลังจากแถลงข่าวเสร็จ ได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุน ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังควบคุมตัวนายวีระพันอยู่นั้น ได้มีกลุ่มของผู้เสียหายเข้ามารุมทำร้ายร่างกายนายวีระพัน เจ้าหน้าที่จึงรีบควบคุมตัวนายวีระพันขึ้นรถ เพื่อกลับไปที่สน.ปทุมวันทันที