ASTVผู้จัดการรายวัน - ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ จำคุก 1 ปี 6 เดือน "ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม" นายกอบจ.สมุทรปราการ ทุจริตเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ เมื่อปี42 ก่อนถูกควบคุมตัวขึ้นรถตู้ไปที่เรือนจำคลองด่านทันที ด้านอธ.ราชทัณฑ์ เผยเรือนจำกลางสมุทรปราการรับตัว"เอ๋ ชนม์สวัสดิ์"แล้ว เบื้องต้นมีอาการเครียด คืนแรกถูกขังรวมกับนักโทษตำรวจอยุธยา ที่ถูกดำเนินคดียักยอกของกลาง
วานนี้ (4 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม นายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ เดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลฎีกาในคดีทุจริตการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ เมื่อปี 2542 ที่พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นโจทก์ฟ้องนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม รักษาการนายกเทศมนตรีนครสมุทรปราการ(ในขณะนั้น) เป็นจำเลยที่ 1 และนายปิติชาติ ไตรสุรัตน์ ปลัดเทศบาลนครสมุทรปราการ(ในขณะนั้น) เป็นจำเลยที่ 2 ซึ่งได้เดินทางมาพร้อมกับทนายความ โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้เดินทางมาศาลแต่อย่างใด และได้เข้าฟังคำพิพากษาที่บัลลังก์7 ส่วนบรรยากาศโดยทั่วไป พบว่ามีผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักมารอทำข่าวกันจำนวนมาก และมีคนสนิทของนายชนม์ อัศวเหม มาคอยสังเกตการณ์ด้วย
ต่อมาเวลา 15.00น.ศาลฏีกา ได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม เป็นเวลาหนึ่งปีหกเดือน จากนั้น เจ้าหน้าที่ศาลได้คุมตัว นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหมออกมา แล้วพาขึ้นรถตู้ไปที่เรือนจำคลองด่านโดยไม่ให้ประกันตัวแต่อย่างใด
สำหรับคดีปากน้ำโคตรโกงนั้น เริ่มมาตั้งแต่เดือน พค. ปี 2542 เกี่ยวกับปัญหา " โคตรโกง" เลือกตั้งเทศบาลเมืองสมุทรปราการ (สมัยนั้น) มีการนำบัตรที่ลงคะแนนไว้แล้ว นำไปเทใส่หีบบัตรลงคะแนน โดยมีผู้แอบถ่ายวิดีโอไว้ นำมาแฉต่อสื่อมวลชน ต่อมาศาลชั้นต้นและศาลอุธรณ์พิพากษาจำคุก ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหมจำเลยที่ 1 และปิยะชาติ จำเลยที่ 2 โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ละเว้นฯ ปลอมเอกสารราชการ
คดีนี้ศาลเคยนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้ว 6 ครั้ง จำเลยที่ 1 หรือที่ 2 ขอเลื่อนทุกครั้ง อ้างป่วย โดยเมื่อเดือนกรกฏาคมจำเลยที่ 2 อ้างป่วยอีก ไม่มาศาล แต่ไม่มีใบรับรองแพทย์ ศาลเห็นว่ามีพฤติการณ์หลบหนี จึงออกหมายจับ แต่ยังไม่สามารถจับได้ จึงเลื่อนมานัดฟังคำพิพากษาวันนี้ 4สิงหาคม 2558 และศาลฏีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ จำคุก นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม 1ปี 6เดือน โดยไม่รอลงอาญาและไม่ให้ประกันตัวแต่อย่างใด
การนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ เป็นการนัดหมายในชั้นศาลฎีกาครั้งที่ 6 หลังจาก 5 ครั้งก่อนหน้านี้ จำเลยที่ 1 และ 2 ผลัดกันขอเลื่อนฟังคำพิพากษา กระทั่งถึงการนัดหมายครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2558 นายชนม์สวัสดิ์เดินทางมาที่ศาล แต่ปรากฏว่านายปิติชาติ ไม่มาศาล โดยแจ้งว่าขัดข้องเรื่องสุขภาพแต่ไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดง ศาลจึงสั่งให้ออกหมายจับนายปิติชาติ เพราะเคยกำชับแล้วว่า คดีนี้มีการเลื่อนอ่านคำพิพากษามาหลายครั้ง
คดีดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2542 ซึ่งมีผู้สมัคร 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปากน้ำ 2000 ของนายชนม์สวัสดิ์ และกลุ่มเมืองสมุทร ของนายประสันต์ ศีลพิพัฒน์ ในวันเลือกตั้งได้ปรากฏภาพชายลึกลับกำลังนำบัตรเลือกตั้งผีมาใส่ในหีบบัตร ต่อมานายประสันต์ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.อ.เมืองสมุทรปราการ กล่าวหาว่า มีการทุจริตการเลือกตั้ง
จนเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2545 อัยการจังหวัดสมุทรปราการได้ยื่นฟ้องนายชนม์สวัสดิ์ หัวหน้ากลุ่มปากน้ำ 2000 และผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ เป็นจำเลยที่ 1 และนายปิติชาติ ปลัดเทศบาลนครสมุทรปราการในขณะนั้น เป็นจำเลยที่ 2 โดยในการพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำพยานเบิกความต่อสู้คดีรวม 50 ปาก
ก่อนที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการจะอ่านคำพิพากษา ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่ง 19/2558 ให้ย้ายนายชนม์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่งนายก อบจ.สมุทรปราการ จากกรณีความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณอุดหนุนวัดในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ
***"เอ๋ ชนม์สวัสดิ์"มีอาการเครียด นอนคุกคืนแรก
วานนี้(4ส.ค.) นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นายไพศาล สุวรรณรักษา ผบ.เรือนจำกลางสมุทรปราการว่าได้รับตัวนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าคุมขังในเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการเรียบร้อยแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ ทำประวัติ ตรวจร่างกาย นายชนมสวัสดิ์ ตามขั้นตอนระเบียบของเรือนจำปกติ และได้ควบคุมตัวในแดนแรกรับ ก่อนรอการจำแนกไปยังแดนที่เหมาะสมใน สัปดาห์ถัดไป
ทั้งนี้นายชนม์สวัสดิ์ เป็นผู้ต้องขังตามหมายศาล แต่ยังไม่ได้รับการจัดลำดับชั้นนักโทษ ซึ่งต้องรออย่างน้อย 6 เดือน เพื่อจัดชั้นนักโทษ และได้รับสิทธิการลดวันต้องโทษ พักโทษ ตามขั้นตอน ส่วนการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ก็เป็นสิทธิที่พึ่งกระทำได้ตามระเบียบ หากพร้อมหรือมีความประสงค์จะยื่นเรื่องเมื่อไหร่ก็ให้ดำเนินการได้ โดย ทางกรมราชทัณฑ์ก็จะพิจารณาตามลำดับขั้นตอนปกติ ทั้งนี้ สำหรับการเยี่ยมญาติในช่วงแรกเข้าใจว่าจะมีญาติพี่น้องประชาชน มาเยี่ยมเป็นจำนวนมาก จึงให้ทางเรือนจำจัดระบบการเยี่ยมให้เรียบร้อย
รายงานข่าวแจ้งว่า ทางเรือนจำได้จัดให้นายชนม์สวัสดิ์พักอยู่กับตำรวจ อยุธยารายหนึ่งที่ถูกดำเนินคดียักยอกของกลาง ซึ่งไม่สามารถฝากขังที่เรือนจำกลางอยุธยาได้ เนื่องจากมีคู่กรณีที่เป็นผู้ต้องขังในเรือนจำจำนวนมาก จึงนำตัวมาฝากไว้ที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ ทั้งนี้นายชนม์สวัสดิ์ ค่อนข้างเครียด ดังนั้นกรมราชทัณฑ์ให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ พูดคุยทำความเข้าใจ กฎระเบียบและ การใช้ชีวิตในเรือนจำ
*****ย้อนรอย"วัฒนา"หนีคดีทุจริตบ่อบำบัดน้ำเสีย
ย้อนรอยโครงการบำบัดบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน มูลค่ากว่า 23,700 ล้านบาท ซึ่งมีนายวัฒนา อัศวเหม รมช.กระทรวง มหาดไทยในขณะนั้น ตกเป็นจำเลยในคดี โครงการนี้ ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2538 ต่อมานายยิ่งพันธ์ มนะสิการ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะนั้นที่มีการเซ็นสัญญาโครงการบำบัดนำเสียกับผู้รับเหมา ในเดือนสิงหาคม 2540 แต่ชาวบ้านในพื้นที่ตั้งโครงการเพิ่งรู้เมื่อปี 2542 จึงเคลื่อนไหวคัดค้าน
จากนั้น ขยายไปสู่การตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยอนุกรรมการไต่สวนการทุจริตที่ดินในโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดมีชื่อนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้อนุมัติ 3 คน ได้แก่ นายยิ่งพันธ์ (เสียชีวิต) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมช.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ถูกกล่าวหาว่าซื้อที่ดินแล้วนำมาขายต่อให้โครงการสมัยที่ดำรงตำแหน่ง
มิถุนายน 2550 ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนา ส่งให้อัยการสูงสุด ฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุว่าใช้อำนาจหน้าที่ขณะเป็น รมช.มหาดไทย บังคับข่มขืนใจ หรือจูงใจให้ราษฎรขายที่ดินให้และบีบบังคับเจ้าหน้าที่ที่ดินออกโฉนดจำนวน 17 แปลง รวมพื้นที่ 1,900 ไร่ เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ
โดยที่ดินดังกล่าวเป็นป่าชายเลนและที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม มีการซื้อขายจากชาวบ้านเปลี่ยนมือกันมาแล้วหลายทอด ต่อมาบริษัท ปาล์มบีช ดีเวลลอปเม้นท์ ที่มีนายสมลักษณ์ อัศวเหม และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ร่วมเป็นกรรมการ ก็เข้ามาซื้อต่ออีกทอดหนึ่ง โดยรวบรวมที่ดินของบริษัท แร่ลานทอง ของนายวัฒนา นายสมพร อัศวเหม และนายมั่น พัธโนทัย และพื้นที่ใกล้เคียงเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนที่ดินผืนนี้จะถูกนำไปจำนองกับธนาคารไทยพาณิชย์และตกถึงมือบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ ที่ซื้อไว้ในราคา 563 ล้านบาท สุดท้ายที่ดินทั้งหมด กรมควบคุมมลพิษ เข้าไปซื้อในราคา 1,900 ล้านบาท
13 พฤศจิกายน 2550 ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์นัดพิจารณาครั้งแรก ในคดีที่นายวัฒนา มีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 33 และ 84 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 2 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 2,000-40,000 บาท หรือประหารชีวิต
12 กุมภาพันธ์ 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก และสืบพยานจำเลยวันที่ 28 มีนาคม 2551
17 เมษายน 2551 ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยครั้งสุดท้าย นายวัฒนา เดินทางมาร่วมการพิจารณาคดีเป็นครั้งแรก หลังจากขอเลื่อนเข้าไต่สวนมาแล้ว 4 ครั้ง ด้วยข้ออ้างป่วย มีอาการสับสนเฉียบพลัน หลงลืม สูญเสียความทรงจำชั่วคราว เนื่องจากอาการโรคเส้นเลือดอุดตันที่ก้านสมอง
นายวัฒนา ให้สัมภาษณ์ว่าถูกอดีตรัฐบาลกลั่นแกล้งเพื่อบีบบังคับให้เข้าสังกัดพรรคการเมือง เช่นเดียวกับนายประชา โพธิพิพิธ (กำนันเซียะ) อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกเล่นงานคดีฮั้วประมูล และนายสมชาย คุณปลื้ม (กำนันเป๊าะ) อดีตนายกเทศมนตรี จำเลยคดีทุจริตซื้อที่ดิน ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี ที่ทุกวันนี้หลบหนีคดีหลังศาลพิพากษาให้จำคุก
8 พฤษภาคม 2551 นายวัฒนา เบิกความต่อศาลยืนยันความบริสุทธิ์ หากทำผิดจริงให้ลงโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นโทษสูงสุด และยืนยันด้วยว่าในวันพิพากษาจะมาฟังแน่นอน ไม่หลบหนีไปไหนเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด
18 สิงหาคม 2551 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ 9 คน ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับคลองสาธารณประโยชน์และที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม นำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ เพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง
ศาลฎีกาฯ มีมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่า จำเลยได้ใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ในนามบริษัท ปาล์มบีช ดิเวลล็อปเม้นท์ จำกัด โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำเลยหลบหนีไม่มาปรากฏตัวต่อศาล ศาลได้สั่งออกหมายจับจำเลย เพื่อมารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป ภายในอายุความ 15 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยหลบหนี.