พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงแนวทางการปฏิรูปตำรวจว่า ในขั้นต้นทางตำรวจได้ดำเนินการมาบ้างแล้ว โดยจะให้ฝ่ายความมั่นคงไปพิจารณาในระยะที่ 1-2-3 จะทำอย่างไรถ้า ระยะที่ 1 รื้อทั้งหมดเลย ตนถามว่า มันไม่ทำงานหรอก เพราะทุกคนไม่รู้อนาคตว่าตัวเองจะอยู่ตรงไหน มันก็ต้องห่วงลูกเมีย จะย้ายไปต่างจังหวัด หรือหน่วยงานใด อนาคตจะเป็นอย่างไร ทุกคนมันมีอนาคตหมด ทำอย่างไรจะให้ตำรวจโตในส่วนที่มันจะต้องโต ไม่ไปทาบทับกัน และแต่งตั้งให้ยุติธรรม ซึ่งตำรวจก็ทำมาบ้างแล้ว ตนสั่งไปก็ไม่มีปัญหาอะไร จะมีใครรู้ดีกว่าตำรวจ เพราะตำรวจเป็นคนใช้กฎหมาย เป็นคนใช้อาวุธ รู้กฎหมายมากกว่าทุกคน เป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ซึ่งต้องมาดูว่า กฎหมายโอเคไหม มันดูแลประชาชนหรือไม่ เจ้าหน้าที่มีอำนาจมากเกินไปหรือเปล่า การสนับสนุนอยู่กับใครตรงไหน ตำรวจประจำพื้นที่ควรจะมีไหม ตำรวจของผู้ว่าราชการจังหวัด ควรจะมีไหม ถ้าจะมีมันจะทะเลาะกันหรือเปล่า รัฐธรรมนูญมันจะทาบทับหรือเปล่า ถ้าเราไปคิดว่าเราเดือดร้อนจากตำรวจ เรื่องอะไร คอร์รัปชัน หรือตำรวจรังแก ถ้าคิดด้านนี้ด้านเดียวแล้วก็ยุบตำรวจอย่างเดียว มันก็คิดอย่างอื่นได้ ต้องคิดแบบตนว่า ทำอย่างไรจะมีตำรวจที่ดีๆในวันหน้า คนไม่ดีก็ต้องกำจัดออกไป แต่คนดีมีมากกว่าอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีตำรวจวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น โจรขโมย ผู้ร้าย เต็มไปหมด ขนาดวันนี้มีตำรวจยังมีโจรผู้ร้าย เพราะว่าเราไม่วางใจ ก็ต้องปฏิรูปเพื่อให้คนไว้วางใจเขา ในการบังคับใช้กฎหมาย
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณี นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉ 2 สนช. ที่เป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพัวพันการทุจริตโครงการจัดซื้อยาปราบศัตรูพืช ในช่วงปี 53-54 ว่า "กำลังพิสูจน์อยู่ในกระบวนการ ผิดไม่ผิด ไม่ใช่ไอ้นี่พูด ก็ตกใจที ให้ไปเข้ากระบวนการสอบสวน ร้องทุกข์กล่าวโทษมา มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่ใช่พูดมาลอยๆ หรือ เขียนในโซเชียลมีเดีย ไปเปิดโซเชียล มีเดียได้ มีกันทุกคน แต่กรณีนี้ใช่หรือไม่ใช่ ยังไม่รู้เลย มีคนทำหมด ขึ้นอยู่กับว่าจะอยู่ข้างไหนเท่านั้นแหละ ถ้าวันนี้ไม่ให้กระบวนการยุติธรรมทำกัน ก็จะเป็นอย่างนี้ร่ำไป ไม่มีความน่าเชื่อถือ ผมถามว่าแล้วอะไรที่มันทำให้เกิดตรงนี้ ใครจะอยู่ในอำนาจ ใครที่ทำให้ระบบเหล่านี้มันเกิดขึ้นมา ระบอบอะไรที่มันเกิดอย่างนี้มาด้วยความไม่พร้อมของประเทศ นั่นแหละอย่าไปเรียกร้องโน่นนี่ ดูเลอะเทอะไปหมด เพราะทุกอย่างจะไม่มีคำว่าหน้าที่ แต่ละคนมีหน้าที่ตรงไหนไม่รู้" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้าน นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง กรณี นายชาญวิทย์ วศยางกูร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และ นายพรศักดิ์ เจียรไนย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ประกาศ เตรียมฟ้องกลับ กรณีถูกกล่าวหาว่า มีส่วนพัวพันการจัดซื้อยาปราบศัตรูพืช ที่ใช้งบประมาณในการจัดซื้อสูงเกินกว่าราคาจริงจนทำให้รัฐเกิดความเสียหาย ว่า ตนพร้อมที่จะสู้คดีในชั้นศาล เพื่อให้มีการพิสูจน์เอกสาร หลักฐาน เนื่องจากตนมีหลักฐานทั้งหมด และขอแนะนำว่า ก่อนที่ นายชาญวิทย์ คิดจะฟ้อง ควรไปถามลูกน้องก่อนว่าได้มาให้ปากคำกับ กรรมาธิการ ป.ป.ช. ในขณะนั้นไว้อย่างไร บ้าง เพราะมีบันทึกหมดว่าใครสั่งให้ทำ
นายวิลาศ กล่าวต่อว่า ส่วนที่อ้างว่า ตนไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่นั้น นายชาญวิทย์ คงไม่ทราบว่า ในระหว่างที่มีตรวจสอบ มีการเชิญคนที่เกี่ยวข้องกว่าร้อยคน มาให้ปากคำ และตนก็ไม่กลัวคำขู่ โดยในขณะนี้ มีนักกฎหมายจำนวนมาก อาสาที่มาจะมาเป็นทนายให้ หากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นจริง
นายวิลาศ กล่าวต่อด้วยว่า เมื่อบุคคลทั้งสองไม่แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิก สนช. แต่ยังยืนยันว่า ตัวเองบริสุทธิ์ ตนก็จะทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกฯที่ประกาศเอาจริงเอาจัง กับการปราบปรามการทุจริต ให้พิจารณาข้อมูลนี้ว่าบุคคลทั้ง 2 ยังสมควรดำรงตำแหน่งสนช. ต่อไม่หรือไม่ แต่ตนจะไม่ทำหนังสือถึง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เพราะเชื่อว่าถึงทำไปก็คงไม่มีผลอะไร
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 กล่าวถึงกรณี 2 สนช. ถูกแฉว่า พัวพันกับการทุจริตจัดซื้อยาปราบศัตรูพืช ว่า เบื้องต้นจะให้ นายชาญวิทย์ วสยางกูร และ นายพรศักดิ์ เจียรณัย สมาชิก สนช. ทำข้อมูลข้อเท็จจริง เพื่อเรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบ และต้องให้โอกาสทั้ง 2 ท่านได้ชี้แจงข้อเท็จจริงก่อน เพราะขณะนี้ได้รับทราบข้อเท็จจริงเพียงฝ่ายเดียว คือ จากนายวิลาศ จันทรพิทักษ์ ซึ่งยังไม่เห็นหลักฐาน และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ต้องให้ความเป็นธรรมกับบุคคลที่ถูกพาดพิงด้วย
ทั้งนี้ ต้องรอดูหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของสมาชิก สนช. เมื่อได้รับหนังสือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. คงจะหารือกับรองประธาน สนช. ทั้ง 2 คน ซึ่งจะต้องพิจารณา และแยกเป็น 2 ส่วน เพราะส่วนหนึ่งท่านเป็นสมาชิก สนช. และอีกส่วนนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช.ซึ่งจะต้องดูภาพรวมของแม่น้ำ 5 สายอยู่
เมื่อถามว่า จะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหรือไม่ นายสุรชัย กล่าวว่า ต้องขอคำชี้แจงของทั้ง 2 ท่านก่อน จึงค่อยดูขั้นตอนต่อไปว่าจำเป็นหรือไม่ เมื่อถามว่า มีการพูดคุยถึงการลาออกตามข้อเรียกร้องหรือไม่ นายสุรชัย กล่าวว่า ยังไม่ไปถึงจุดนั้นเลย ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาว่าจะชี้แจงข้อเท็จจริงหักล้างข้อกล่าวหาอย่างไรก่อน
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณี นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉ 2 สนช. ที่เป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพัวพันการทุจริตโครงการจัดซื้อยาปราบศัตรูพืช ในช่วงปี 53-54 ว่า "กำลังพิสูจน์อยู่ในกระบวนการ ผิดไม่ผิด ไม่ใช่ไอ้นี่พูด ก็ตกใจที ให้ไปเข้ากระบวนการสอบสวน ร้องทุกข์กล่าวโทษมา มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่ใช่พูดมาลอยๆ หรือ เขียนในโซเชียลมีเดีย ไปเปิดโซเชียล มีเดียได้ มีกันทุกคน แต่กรณีนี้ใช่หรือไม่ใช่ ยังไม่รู้เลย มีคนทำหมด ขึ้นอยู่กับว่าจะอยู่ข้างไหนเท่านั้นแหละ ถ้าวันนี้ไม่ให้กระบวนการยุติธรรมทำกัน ก็จะเป็นอย่างนี้ร่ำไป ไม่มีความน่าเชื่อถือ ผมถามว่าแล้วอะไรที่มันทำให้เกิดตรงนี้ ใครจะอยู่ในอำนาจ ใครที่ทำให้ระบบเหล่านี้มันเกิดขึ้นมา ระบอบอะไรที่มันเกิดอย่างนี้มาด้วยความไม่พร้อมของประเทศ นั่นแหละอย่าไปเรียกร้องโน่นนี่ ดูเลอะเทอะไปหมด เพราะทุกอย่างจะไม่มีคำว่าหน้าที่ แต่ละคนมีหน้าที่ตรงไหนไม่รู้" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้าน นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง กรณี นายชาญวิทย์ วศยางกูร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และ นายพรศักดิ์ เจียรไนย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ประกาศ เตรียมฟ้องกลับ กรณีถูกกล่าวหาว่า มีส่วนพัวพันการจัดซื้อยาปราบศัตรูพืช ที่ใช้งบประมาณในการจัดซื้อสูงเกินกว่าราคาจริงจนทำให้รัฐเกิดความเสียหาย ว่า ตนพร้อมที่จะสู้คดีในชั้นศาล เพื่อให้มีการพิสูจน์เอกสาร หลักฐาน เนื่องจากตนมีหลักฐานทั้งหมด และขอแนะนำว่า ก่อนที่ นายชาญวิทย์ คิดจะฟ้อง ควรไปถามลูกน้องก่อนว่าได้มาให้ปากคำกับ กรรมาธิการ ป.ป.ช. ในขณะนั้นไว้อย่างไร บ้าง เพราะมีบันทึกหมดว่าใครสั่งให้ทำ
นายวิลาศ กล่าวต่อว่า ส่วนที่อ้างว่า ตนไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่นั้น นายชาญวิทย์ คงไม่ทราบว่า ในระหว่างที่มีตรวจสอบ มีการเชิญคนที่เกี่ยวข้องกว่าร้อยคน มาให้ปากคำ และตนก็ไม่กลัวคำขู่ โดยในขณะนี้ มีนักกฎหมายจำนวนมาก อาสาที่มาจะมาเป็นทนายให้ หากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นจริง
นายวิลาศ กล่าวต่อด้วยว่า เมื่อบุคคลทั้งสองไม่แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิก สนช. แต่ยังยืนยันว่า ตัวเองบริสุทธิ์ ตนก็จะทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกฯที่ประกาศเอาจริงเอาจัง กับการปราบปรามการทุจริต ให้พิจารณาข้อมูลนี้ว่าบุคคลทั้ง 2 ยังสมควรดำรงตำแหน่งสนช. ต่อไม่หรือไม่ แต่ตนจะไม่ทำหนังสือถึง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เพราะเชื่อว่าถึงทำไปก็คงไม่มีผลอะไร
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 กล่าวถึงกรณี 2 สนช. ถูกแฉว่า พัวพันกับการทุจริตจัดซื้อยาปราบศัตรูพืช ว่า เบื้องต้นจะให้ นายชาญวิทย์ วสยางกูร และ นายพรศักดิ์ เจียรณัย สมาชิก สนช. ทำข้อมูลข้อเท็จจริง เพื่อเรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบ และต้องให้โอกาสทั้ง 2 ท่านได้ชี้แจงข้อเท็จจริงก่อน เพราะขณะนี้ได้รับทราบข้อเท็จจริงเพียงฝ่ายเดียว คือ จากนายวิลาศ จันทรพิทักษ์ ซึ่งยังไม่เห็นหลักฐาน และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ต้องให้ความเป็นธรรมกับบุคคลที่ถูกพาดพิงด้วย
ทั้งนี้ ต้องรอดูหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของสมาชิก สนช. เมื่อได้รับหนังสือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. คงจะหารือกับรองประธาน สนช. ทั้ง 2 คน ซึ่งจะต้องพิจารณา และแยกเป็น 2 ส่วน เพราะส่วนหนึ่งท่านเป็นสมาชิก สนช. และอีกส่วนนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช.ซึ่งจะต้องดูภาพรวมของแม่น้ำ 5 สายอยู่
เมื่อถามว่า จะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหรือไม่ นายสุรชัย กล่าวว่า ต้องขอคำชี้แจงของทั้ง 2 ท่านก่อน จึงค่อยดูขั้นตอนต่อไปว่าจำเป็นหรือไม่ เมื่อถามว่า มีการพูดคุยถึงการลาออกตามข้อเรียกร้องหรือไม่ นายสุรชัย กล่าวว่า ยังไม่ไปถึงจุดนั้นเลย ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาว่าจะชี้แจงข้อเท็จจริงหักล้างข้อกล่าวหาอย่างไรก่อน