**ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะ "สงวนท่าที" และพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องการ "ต่ออายุ" การทำหน้าที่สำคัญในปัจจุบัน เพราะรู้ดีว่านี่เป็นเรื่อง"ละเอียดอ่อน" ของจริง หากขืนผลีผลาม ออกตัวแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ มันก็อาจพังกันทั้ง "ขบวน"
เพราะหากสังเกตดีๆ ฝ่ายที่เสนอให้ "ต่ออายุ" อยู่ต่อไปอีกระยะอย่างน้อยในเบื้องต้นก็มีระยะเวลา 2 ปี มีทั้งพวกหวังดี พวกหวังดีแบบประสงค์ร้าย รวมทั้งพวกไร้เดียงสา มีหลายประเภทผสมปนเปแทบแยกไม่ออก แต่เอาเป็นว่า งานนี้เป็น "งานเสี่ยง" ดังนั้น ถูกต้องแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ออกตัว จนออกนอกหน้าในเวลานี้
แต่เท่าที่สังเกตอาการก็เห็นชัดเหมือนกันว่า เขา "ไม่ปฏิเสธ" และให้พิจารณาความหมายจากคำพูดที่ว่า "ให้ไปคิดไปหาวิธีการมา" นั่นคือต้อง "มีความชอบธรรม" ต้องให้เป็นความต้องการของ "ประชาชน" จริงๆ ดังนั้นเมื่อเป็นความต้องการของประชาชน ต้องมีวิธีการใดบ้าง นั่นคือ หนึ่งต้องมีการเลือกตั้ง และสอง มีการสำรวจความคิดเห็นโดยอาจผ่านทางการ "ทำประชามติ" ซึ่งวิธีหลังน่าจะเป็นไปได้สูง หากเจ้าตัวไม่ขัดข้อง
ส่วนจะทำให้ช่วงเวลาไหนให้เหมาะสม นาทีนี้ยังไม่รู้ว่าทำหรือไม่ หรือทำตอนไหน แต่ถ้าให้พิจารณาจากอาการ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ คำพูดที่แย้มออกมาจากปากของ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นกุนซือสำคัญตามฉายา "เนติบริกร" ย่อมการันตีได้อยู่แล้วว่า จะให้ออกไปทางไหน
คำพูดที่บอกว่า ยังไม่สมควรพูดกันในตอนนี้ เพราะอยู่ในช่วงของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องดำเนินการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นไปก่อน แต่ที่ "แย้ม" ออกมาให้เห็นความหมายก็คือ หากมีการทำประชามติรัฐธรรมนูญก็ให้ "เพิ่มคำถาม" ในเรื่องการ "ต่ออายุรัฐบาล" อีกสองปี เพื่อภารกิจปฏิรูปให้ต่อเนื่องเสร็จสิ้น สังเกตหรือไม่ว่าไม่ได้พูดถึง "ตัวบุคคล" นั่นคือ ไม่ได้พูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะในทางกฎหมายจะเป็นเรื่องตัวบุคคลไม่ได้
แต่หากการทำประชามติพ่วงเอาเรื่องการต่ออายุรัฐบาลเข้าไปด้วย และ หากผ่านไปพร้อมกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มันก็เหมือนสองเด้ง ฟันสองต่อ
อย่างไรก็ดี ก็ต้องพิจารณากันอีกด้านหนึ่งที่มันอาจจะออกมาใน "ด้านลบ" แบบสุดๆ เช่นเดียวกัน เพราะต้องไม่ลืมว่า "ต่ออายุ" มันเป็นประเด็น "อ่อนไหว" ของจริง มันจะกลายเป็นการ "สร้างเงื่อนไข" ในเรื่องของการ "อยู่ในอำนาจ" ต่อไป และยังเป็นการใช้ "อำนาจพิเศษ" เสียอีก ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลา ฝ่ายตรงข้ามย่อมงัดเอาเรื่องแบบนี้ขึ้นมาถล่มกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะจากฝ่ายนักการเมือง และพรรคการเมือง ที่ต้องรอเข้ามาสู่อำนาจไม่ไหว
เพราะหากมีการต่ออายุ ก็ย่อมหมายถึงพวกเขาต้องรอไปอีก ซึ่งอาจหมายถึงการหลุดจากวงจรอำนาจแบบถาวรไปเลยก็ได้ โดยเฉพาะหากพิจารณาจากสภาพในปัจจุบันที่แทบ "หมดความหมาย" ถูกชาวบ้านเหยียดหยามแทบจะจมดินอยู่แล้ว ดังนั้นยิ่งยืดเวลาออกไป ก็ยิ่งขาลอยเรื่อยๆ
**ดังนั้นการต่ออายุ มันถึงได้บอกว่า "อ่อนไหว" เพราะจะใช้เป็นการสร้างเงื่อนไขในเรื่อง "อยากมีอำนาจ" ประเภท "กูว่าแล้ว" ได้ตลอดเวลา และอย่าทำเป็นเล่นไป เรื่องแบบนี้อาจทำให้พังได้เพียงชั่วข้ามคืน
อย่างไรก็ดี หากเป็นความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นมติของมหาชน แต่จะทำแบบไหนให้เนียน ไม่ให้ถูกเข้าใจว่าเป็นความต้องการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคนใกล้ชิดที่ต้องการอยู่ต่อ และต้องการ "โหนอำนาจ" เท่านั้น และที่สำคัญที่ผ่านมาพวกเขาได้สร้างประโยชน์ สร้างความหวังให้กับชาวบ้านได้ดีจริงหรือไม่
ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้อาจยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องพูดกันในตอนนี้ก็ได้ แต่ก็เชื่อว่านับจากนี้ไป จะมีความเคลื่อนทุกทางที่จะเข้มข้นขึ้น ทั้งพวกหวังดี พวกหวังดีประสงค์ร้าย
**แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง และที่สำคัญที่สุด อยู่ที่ชาวบ้านว่าพวกเขาจะต้องการจริงหรือไม่ เท่านั้นเอง !!
เพราะหากสังเกตดีๆ ฝ่ายที่เสนอให้ "ต่ออายุ" อยู่ต่อไปอีกระยะอย่างน้อยในเบื้องต้นก็มีระยะเวลา 2 ปี มีทั้งพวกหวังดี พวกหวังดีแบบประสงค์ร้าย รวมทั้งพวกไร้เดียงสา มีหลายประเภทผสมปนเปแทบแยกไม่ออก แต่เอาเป็นว่า งานนี้เป็น "งานเสี่ยง" ดังนั้น ถูกต้องแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ออกตัว จนออกนอกหน้าในเวลานี้
แต่เท่าที่สังเกตอาการก็เห็นชัดเหมือนกันว่า เขา "ไม่ปฏิเสธ" และให้พิจารณาความหมายจากคำพูดที่ว่า "ให้ไปคิดไปหาวิธีการมา" นั่นคือต้อง "มีความชอบธรรม" ต้องให้เป็นความต้องการของ "ประชาชน" จริงๆ ดังนั้นเมื่อเป็นความต้องการของประชาชน ต้องมีวิธีการใดบ้าง นั่นคือ หนึ่งต้องมีการเลือกตั้ง และสอง มีการสำรวจความคิดเห็นโดยอาจผ่านทางการ "ทำประชามติ" ซึ่งวิธีหลังน่าจะเป็นไปได้สูง หากเจ้าตัวไม่ขัดข้อง
ส่วนจะทำให้ช่วงเวลาไหนให้เหมาะสม นาทีนี้ยังไม่รู้ว่าทำหรือไม่ หรือทำตอนไหน แต่ถ้าให้พิจารณาจากอาการ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ คำพูดที่แย้มออกมาจากปากของ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นกุนซือสำคัญตามฉายา "เนติบริกร" ย่อมการันตีได้อยู่แล้วว่า จะให้ออกไปทางไหน
คำพูดที่บอกว่า ยังไม่สมควรพูดกันในตอนนี้ เพราะอยู่ในช่วงของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องดำเนินการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นไปก่อน แต่ที่ "แย้ม" ออกมาให้เห็นความหมายก็คือ หากมีการทำประชามติรัฐธรรมนูญก็ให้ "เพิ่มคำถาม" ในเรื่องการ "ต่ออายุรัฐบาล" อีกสองปี เพื่อภารกิจปฏิรูปให้ต่อเนื่องเสร็จสิ้น สังเกตหรือไม่ว่าไม่ได้พูดถึง "ตัวบุคคล" นั่นคือ ไม่ได้พูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะในทางกฎหมายจะเป็นเรื่องตัวบุคคลไม่ได้
แต่หากการทำประชามติพ่วงเอาเรื่องการต่ออายุรัฐบาลเข้าไปด้วย และ หากผ่านไปพร้อมกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มันก็เหมือนสองเด้ง ฟันสองต่อ
อย่างไรก็ดี ก็ต้องพิจารณากันอีกด้านหนึ่งที่มันอาจจะออกมาใน "ด้านลบ" แบบสุดๆ เช่นเดียวกัน เพราะต้องไม่ลืมว่า "ต่ออายุ" มันเป็นประเด็น "อ่อนไหว" ของจริง มันจะกลายเป็นการ "สร้างเงื่อนไข" ในเรื่องของการ "อยู่ในอำนาจ" ต่อไป และยังเป็นการใช้ "อำนาจพิเศษ" เสียอีก ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลา ฝ่ายตรงข้ามย่อมงัดเอาเรื่องแบบนี้ขึ้นมาถล่มกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะจากฝ่ายนักการเมือง และพรรคการเมือง ที่ต้องรอเข้ามาสู่อำนาจไม่ไหว
เพราะหากมีการต่ออายุ ก็ย่อมหมายถึงพวกเขาต้องรอไปอีก ซึ่งอาจหมายถึงการหลุดจากวงจรอำนาจแบบถาวรไปเลยก็ได้ โดยเฉพาะหากพิจารณาจากสภาพในปัจจุบันที่แทบ "หมดความหมาย" ถูกชาวบ้านเหยียดหยามแทบจะจมดินอยู่แล้ว ดังนั้นยิ่งยืดเวลาออกไป ก็ยิ่งขาลอยเรื่อยๆ
**ดังนั้นการต่ออายุ มันถึงได้บอกว่า "อ่อนไหว" เพราะจะใช้เป็นการสร้างเงื่อนไขในเรื่อง "อยากมีอำนาจ" ประเภท "กูว่าแล้ว" ได้ตลอดเวลา และอย่าทำเป็นเล่นไป เรื่องแบบนี้อาจทำให้พังได้เพียงชั่วข้ามคืน
อย่างไรก็ดี หากเป็นความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นมติของมหาชน แต่จะทำแบบไหนให้เนียน ไม่ให้ถูกเข้าใจว่าเป็นความต้องการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคนใกล้ชิดที่ต้องการอยู่ต่อ และต้องการ "โหนอำนาจ" เท่านั้น และที่สำคัญที่ผ่านมาพวกเขาได้สร้างประโยชน์ สร้างความหวังให้กับชาวบ้านได้ดีจริงหรือไม่
ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้อาจยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องพูดกันในตอนนี้ก็ได้ แต่ก็เชื่อว่านับจากนี้ไป จะมีความเคลื่อนทุกทางที่จะเข้มข้นขึ้น ทั้งพวกหวังดี พวกหวังดีประสงค์ร้าย
**แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง และที่สำคัญที่สุด อยู่ที่ชาวบ้านว่าพวกเขาจะต้องการจริงหรือไม่ เท่านั้นเอง !!