หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ คุณอาจจะต้องติดตามเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าทีมข่าว Feel Good เคยมีน้ำหนักถึง 108 กิโลกรัม ฟังไม่ผิดหรอก 108 กิโลกรัม จริงๆ และดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้จะกลับมาเกิดในร่างใหม่ที่ดูชวนมองและได้ส่วนสัดไปทุกส่วน ไม่มีเค้าของหนุ่มอ้วนหนัก 108 กิโลกรัมให้เห็นแต่อย่างใด
แบงค์ - ชวลิต หล่อประสงค์สุข คือชื่อเล่น ชื่อจริง และนามสกุลเต็มๆ ของเขา โดยชายหนุ่มนัดทีมข่าวไว้ที่สนามกีฬาเทนนิส ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต วันนั้นเป็นวันที่ฟ้าเปิดๆ ปิดๆ น่ากลัวยิ่งนักต่อการถ่ายภาพ แต่ตัวเขาเองก็บ่ยั่นในการออกแอ็คชั่นตีเทนนิสให้ทีมข่าวดู ซึ่งเป็นประเภทกีฬาที่เขาถนัดและทำอยู่เป็นประจำ ทุกท่วงท่าและการเคลื่อนไหวช่างเร้าใจให้กดชัตเตอร์อย่างต่อเนื่อง
แบงค์ตีเทนนิสและเล่าไปพลางๆ ว่า ตอนที่น้ำหนัก 108 กิโลกรัม ไม่คิดว่าตัวเองอ้วนเลย แม้แต่มองตัวเองในกระจก ก็ไม่คิดว่าตัวเองอ้วนอยู่ดี เพราะการหลอกตัวเองไปวันๆ นี่แหละ น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอ้วนเอาๆ แบบนี้ และยิ่งพอได้มาเทียบรูปตัวเองในช่วงก่อนและลดน้ำหนักแล้ว เจ้าตัวถึงกับผงะ และบอกกับทีมข่าวด้วยเสียงหัวเราะว่า
“ทำไมตัวเองอ้วนจังวะ”
ความสุขจอมปลอม
ช่างภาพขอหยุดการถ่ายภาพและเช็คภาพสักครู่ ทีมข่าวเลยถือโอกาสนี้เข้าไปสัมภาษณ์เขาในระหว่างนั่งพักที่สนามเทนนิส แบงค์เล่าให้ฟังถึงความสุขในตอนช่วงที่ตัวเองอ้วนว่า เรื่องการกินคงเป็นความสุขในช่วงนั้นเพียงอย่างเดียว กินไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องคำนึงถึงสายตาใครๆ อยากจะชิมอะไรก็ชิม และไม่คิดถึงผลเสียที่จะตามมาหลังจากนั้น
“ปกติทุกมื้อตอนเช้า จะกินไม่ต่ำกว่า 2 จาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๋วยเตี๋ยวนี่กินเป็นประจำ กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็ต่อด้วยซูชิ เพราะที่มหาวิทยาลัยมีขายอาหารญี่ปุ่น และซูชิเป็นอาหารที่มีข้าวเยอะมาก มันเลยทำให้ผมอ้วน การกินในชีวิตประจำวันของผมก็จะเป็นแบบนี้ อีกทั้งช่วงเย็นจะไปกินบุฟเฟ่ต์กับเพื่อนแทบทุกวัน อาทิตย์ละ 4-5 ครั้งเห็นจะได้ เป็นร้านประเภทต้มนึ่งหรือปิ้งย่างบ้าง แล้วแต่สถานการณ์ แถมหมูยังมีมันแทบทุกชิ้นอีกด้วย ยิ่งแล้วใหญ่เลย”
อย่าคิดว่า เช้า กลางวัน เย็น จะปิดจ็อบการกินสำหรับแบงค์แล้ว อย่าลืมสิว่า มื้อดึกก็ยังหิวได้อยู่สำหรับคนเจ้าเนื้อทุกคน แบงค์เองก็เช่นเดียวกัน
“ช่วงกลางคืนนี่หนักสุดเลย จะเป็นอาหารประเภทผัดไทย คือผมกินผัดไทยก่อนนอนแทบทุกคืนเลย แล้วผัดไทยเป็นอาหารที่มีแคลอรี่สูงมาก บางคืนกิน 2 ห่อก่อนนอนด้วยซ้ำ กินเสร็จแล้วก็นอน บางวันนอนดึกเพราะเล่นเกม ก็ลงไปหาอะไรกินที่ร้านสะดวกซื้ออีก แล้วแบบนี้มันจะไม่ให้อ้วนได้อย่างไร”
ความสุขในเรื่องของการกินอยู่ไม่ได้ไม่นานจริงๆ เพราะร่างกายของแบงค์ส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้เขาตระหนักถึงน้ำหนักที่มากขึ้น และชายหนุ่มคนนี้ก็สังวรณ์ได้ว่า สิ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นความสุข แท้จริงคือเรื่องลวงโลกทั้งสิ้น
“ผมเริ่มทำอะไรไม่สะดวก ขนาดเดินไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ก็รู้สึกปวดขามาก หรือเล่นกีฬาเพียงไม่นานก็เหนื่อยง่ายแล้ว รวมถึงช่วงนั้นทางเดินหายใจของผมก็ไม่ค่อยดีด้วย นั่นจึงทำให้ผมรู้สึกว่า เริ่มอยากจะอยู่ห่างความอ้วนให้มากที่สุด จากที่เคยเพลินปากเวลากิน ก็เริ่มเพลาๆ ลง ซึ่งตอนแรกผมคิดว่า ความอยากคือความสุข แต่มันกลายเป็นความทุกข์ถนัดที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผมจริงๆ”
ได้เวลาดูแลตัวเอง
ช่างภาพเริ่มเปลี่ยนจากความหักโหมเป็นท่วงท่าที่สบายและเป็นไลฟ์สไตล์ของเขามากขึ้น แบงค์เล่าพลางยิ้มกับทีมข่าวว่า ตัวผมเคยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยหนึ่งมาก่อน แต่ไม่ตรงสายเท่าไหร่ เลยตัดสินใจย้ายมาเรียนอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง ซึ่งจุดนั้นเองถือเป็นจุดเปลี่ยนในการดูแลร่างกายของแบงค์
“ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมก่อนที่จะมาเริ่มมหาวิทยาลัยใหม่ และช่วง 3-4 เดือนที่หยุดไป ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร จึงหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพราะ 3-4 เดือนถือเป็นช่วงเวลาที่นานมาก และการออกกำลังกายอย่างแรกที่ผมคิดถึงเลยคือ เทนนิส เพราะห่างหายจากการตีไปนานตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย แล้วก็ไม่ได้ตีอีกเลย จึงกลับมาฟื้นฟูวิชาอันอีกครั้ง รวมถึงออกกำลังกายไปด้วยในตัว”
3-4 เดือนที่หายไปจากการเรียน จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลร่างกายตัวเองใหม่อีกครั้ง รวมถึงต้องการที่จะมีชีวิตใหม่ เพื่อรับกับเพื่อนและมหาวิทยาลัยใหม่ที่ตัวเองกำลังจะเข้าศึกษา
“ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า เพราะไหนๆ ผมก็ย้ายมหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเองบ้าง โดยเริ่มต้นจากร่างกายที่ดูดีของตัวเองก่อน นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมจริงจังกับการออกกำลังกายมากขึ้น”
จาก 108 กิโลกรัม แบงค์เข้าสู่น้ำหนัก 84-85 กิโลกรัม ภายในระยะเวลานาน ด้วยการควบคุมอาหารเพียงเล็กน้อย คือกินให้น้อยลง จาก 2 จานเหลือ 1 จาน เน้นโปรตีนมากกว่าแป้ง และเล่นกีฬาเทนนิสเป็นหลัก ซึ่งกีฬาเทนนิสจะต้องใช้ทั้งตัวเวลาเล่น จึงทำให้แบงค์เบิร์นร่างกายได้ค่อนข้างไว โดยวันหนึ่งเขาตีเทนนิสประมาณ 2-3 ชั่วโมง
“24 กิโลกรัมที่หายไป พอใจแล้วหรือยังตอนนั้น” ทีมข่าว Feel Good ถามกลับ
“84-85 กิโลกรัมในตอนนั้น ตัวผมเริ่มผอมและลีบลงมาแล้ว ตัวนี่แบนราบลงมาเลย ส่วนหน้ายังกลมๆ อยู่นิดหนึ่ง เรื่องส่วนเกินหรือพุงก็เริ่มหายไปแล้ว แต่ตอนนั้นเวลาผมจะทำอะไร ด้วยนิสัยส่วนตัว ก็อยากจะทำออกมาให้ดีที่สุด ซึ่งตอนที่เริ่มผอม ก็ยังรู้สึกว่าน้อยกว่าคนอื่นอยู่ดี ผมอยากจะมีกล้ามกับเขาบ้าง เลยลองเล่นกล้ามดีกว่า เหมือนมันเป็นจุดที่ผมอยากจะพยายามขึ้นๆ ไปอีก ลองดูสิว่ามันจะเป็นอย่างไร”
ช่วงเวลาแห่งกล้าม
หลังจากการถ่ายภาพเสร็จสิ้นไป ทีมข่าวคุยถึงช่วงเวลาสร้างกล้ามแบบจริงจังมากขึ้น และช่วงเวลาการพูดคุยนี้เองดูเหมือนว่า แบงค์จะเล่าได้อย่างออกรสออกชาติมากที่สุด
“ถ้าอยากให้เห็นซิกแพ็คชัด การกินสำคัญที่สุด ผมจึงพยายามควบคุมไขมันด้วยการกินอาหารคลีนมากขึ้น โดยผมจะสั่งเขามา เพราะอยู่หอทำเองไม่ได้ ส่วนใหญ่ที่กินจะเป็นอกไก่ต้มน้ำปลา เพราะแคลอรี่น้อยมาก ในมื้อหนึ่งก็จะมีอกไก่ต้มน้ำปลา ผักต้ม ฟักทองต้ม และข้าวกล้อง อาจมีน้ำพริกมาเสริมบ้าง ถ้ามันเลี่ยนจนเกินไป
“ผมต้องการโปรตีนเพื่อการเล่นกล้าม ดังนั้นเมนูจึงเป็นพวกอกไก่เป็นหลัก เพราะไขมันค่อนข้างต่ำ เมนูรองลงมาก็จะเป็นเนื้อปลา สลับกันไป ที่สำคัญคือ หมูกับเนื้อนี่แทบไม่ได้เตะเลย คือมีกินบ้าง แต่ไม่บ่อย เพราะผมก็ยังต้องการสารอาหารจากพวกเนื้อสัตว์เหล่านี้อยู่”
พอพูดถึงอาหารคลีน หลายคนมักแสดงสีหน้าขยาดออกมาแทบจะทันทีทันใด เพราะอาหารเหล่านี้คือสุดยอดแห่งความจืดชืด แถมยังต้องกินอยู่ทุกวัน มันดูซ้ำซากจำเจเป็นอย่างมาก แต่แบงค์บอกว่า มันคือความอร่อยชั้นหนึ่งเลย
“ผมว่าอร่อยกว่าอาหารทั่วไปที่สั่งเขาทำอีกนะ เพราะเขาจะใส่อะไรที่มันมากๆ มาให้ผมกิน ซึ่งผมไม่กินเลย อีกทั้งอาหารคลีนเขาก็ไม่ค่อยใช้น้ำมันในการทำ ถ้าทำก็ใช้เพียงแค่นิดเดียว อย่างตอนนี้เวลาผมไปสั่งอาหารตามสั่งที่เขาใส่น้ำมันเยอะๆ ผมจะรู้สึกเลี่ยนขึ้นมาทันที เพราะใส่น้ำมันมากจนเกินไป เดี๋ยวนี้เวลาออกไปกินอาหารนอกบ้าน ก็จะกินแบบต้มๆ แทน ถ้าเลี่ยงได้ก็เข้าร้านสุกี้ไปเลย เพราะอย่างน้อยอาหารที่กินก็จะเป็นประเภทต้มเสียส่วนใหญ่”
ไม่ใช่ว่าแบงค์ดูแลแต่การกิน การออกกำลังกายเขาก็ไม่ลืมเหมือนกัน โดยช่วงสร้างกล้าม แบงค์ยังออกกำลังกายด้วยการตีเทนนิสเหมือนเดิม แต่เขาได้เพิ่มการเล่นฟิตเนสเข้าไปด้วย ซึ่งบางวันเขาก็เล่นทั้ง 2 ไปอย่างพร้อมกัน อย่างตอนเช้าแบงค์เล่นฟิตเนสไปแล้ว ตอนเย็นเขาก็ไปตีเล่นเทนนิสต่อ เรียกได้ว่า ฟิตแอนด์เฟิร์มสุดๆ จนในตอนนี้น้ำหนักของชายหนุ่มอยู่ที่ 74-75 กิโลกรัม หายไปอีก 10 กิโลกรัมด้วยกัน
เทนนิสเปลี่ยนชีวิต
แบงค์ขอตัวไปเก็บเสื้อและไม้แร็กเก็ตที่รถ ก่อนที่จะมานั่งสัมภาษณ์ต่อ ทีมข่าวรู้สึกสะกิดใจว่า กีฬาเทนนิสดูจะมีความหมายกับชายหนุ่มคนนี้เหลือเกิน แต่ทำไมต้องเป็นกีฬาเทนนิสล่ะ เป็นกีฬาประเภทอื่นๆ ไม่ได้เหรอ
“ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบกีฬาประเภททีมเท่าไหร่ อย่างไปเล่นฟุตบอล เพื่อนที่เก่งแล้ว เขาก็จะไม่ค่อยยอมส่งฟุตบอลมาให้ ก็เลยไม่ค่อยชอบเล่น เล่นกีฬาที่เป็นผู้เล่นคนเดียวดีกว่า จะได้มีสมาธิกับตัวเองมากขึ้นด้วย แต่เหตุผลจริงๆ แล้วมันมีมากกว่านั้น
“ผมชอบการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่งคือ Prince of Tennis เป็นการ์ตูนที่ดังมากในช่วงนั้น พอผมดูแล้วรู้สึกว่า มันเท่มาก ก็เลยลองเล่นเทนนิสดู แล้วช่วงนั้นเป็นยุคของภราดรด้วย เทนนิสกำลังดัง ก็เลยเล่นหลังจากนั้นมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเล่นแค่เฉพาะเทนนิสเท่านั้น เทควันโด ปิงปอง ว่ายน้ำ แบดมินตัน ผมก็เคยเล่นมาก่อน เรียกได้ว่า เล่นกีฬาแทบทุกประเภทเลย แต่กีฬาเทนนิสเป็นกีฬาที่เล่นนานที่สุดเท่านั้นเอง”
พูดแล้วจะหาว่าคุย แบงค์มีตำแหน่งเป็นถึงนักเทนนิสระดับภาค เรียกได้ว่า กำลังจะไปแตะในระดับประเทศแล้ว แต่ด้วยอุบัติเหตุบาดเจ็บทางร่างกาย จึงทำให้การเล่นเทนนิสไม่คืนฟอร์มเหมือนเก่า แบงค์เลยล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป แต่ถึงแม้จะไม่ได้ไปในระดับประเทศ เขาก็มีหุ่นที่น่าอิจฉาเอามากๆ ซึ่งนั่นก็เป็นผลพวงมาจากการตีเทนนิสของเขา
“เทนนิสเป็นกีฬาที่มันมาก สามารถใช้แรงได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นตอนตี หวด หรือวิ่งรับลูก โดยก่อนที่จะเล่นเทนนิส คือผมเล่นกอล์ฟมาก่อน แต่การเล่นกอล์ฟ มันเหมือนเป็นการแข่งกับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับผู้อื่น เลยไม่ค่อยชอบ ผมชอบแข่งกับฝั่งตรงข้ามมากกว่า ส่วนแบดมินตัน ตอนลูกกระทบไม้ มันไม่ได้หนักมาก แต่เทนนิสนี่โดนลูกไปแล้วมันสั่นสะท้านไปหมดเลย (หัวเราะ) รู้สึกมันก็ตรงนี้นี่แหละ เทนนิสเลยเป็นกีฬาที่เหมาะที่สุดสำหรับผม”
ใจสู้หรือเปล่า
จากเลขสามหลักลงมาเหลือเลขสองหลัก และ 33 กิโลกรัม ที่หายไปก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จนี้แบงค์บอกกับทีมข่าวว่า เป็นเพราะความพยายามของตัวเองล้วนๆ ที่มาถึงจุดนี้ได้
“ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมแพ้ใคร ใครที่มาบอกว่า ทำไม่ได้หรอก ผมจะพยายามตัวเองให้มากขึ้น และบอกว่า ตัวเองทำได้ ฉะนั้นความพยายามและแรงบันดาลใจ จึงเป็นตัวผลักดันให้เราขึ้นมาอยู่ในจุดนี้ รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่า เป้าหมาย ด้วย เพราะพอมีเป้าหมาย ผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะชัดขึ้น
“อย่างผมอยากทำงานด้านวงการบันเทิง แต่ตอนนั้นไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเองเลย หน้าตาก็ไม่ได้หวังอะไรกับงานตรงนั้นมาก ก็ปล่อยตัวเองมาเรื่อยๆ แต่พอเริ่มผอมแล้ว ก็เริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และมีแรงบันดาลใจอยากที่จะทำให้รูปร่างของตัวเองออกมาดีที่สุด ผมจึงตั้งเป้าหมายไว้ว่า หุ่นผมจะต้องเหมือนนายแบบให้ได้ และผมก็ทำให้ได้จริงๆ อย่างที่ผมตั้งเป้าหมายไว้”
ทีมข่าวสมมติสถานการณ์ขึ้นมาว่า ถ้ามีผู้ชายเหมือนอย่างแบงค์ในอดีตเดินมาปรึกษาว่า ตอนนี้หนัก 108 กิโลกรัม เหมือนกัน เขาควรจะเริ่มต้นอย่างไร ชายหนุ่มยิ้มพลางตอบอย่างนุ่มนวล
“ผมคงแนะนำตอนที่เห็นตอนนั้นเลย อย่างแรกคือ ต้องถามเขาก่อนว่า สู้แค่ไหน พยายามแค่ไหน ถ้าคนมีความพยายาม มันทำได้แน่นอน ถ้าเขาบอกว่า พยายามเต็มที่แล้ว ผมก็จะบอกต่อว่า แล้วคุมอาหารได้ประมาณไหน ตอนแรกอาจจะคลีน 100 เปอร์เซ็นต์เลยไม่ได้ เพราะคนเราเคยกินมาก่อน ไม่สามารถปรับตัวได้เร็วถึงขนาดนั้น
“ดังนั้น จะขอให้คนคนนี้เริ่มจากควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง จากที่เคยกิน 2 จานลองลดเหลือจานเดียวดู และถ้าจะเริ่มออกกำลังกาย คนอ้วนมักมีปัญหาเวลาเดินหรือวิ่ง เพราะมีปัญหาเรื่องปวดเข่าง่าย ผมก็จะแนะนำต่อว่า ลองปั่นจักรยานดูไหมสัก 30 นาที หรือลองเดินช้าๆ แบบชันๆ เหมือนเดินขึ้นเขาดู คุณไหวหรือเปล่า ถ้าไหวก็ลองดู แล้วลุยกับมันให้เต็มที่ ผมเชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณแน่นอน”
แบงค์เดินจากทีมข่าวไปด้วยรูปร่างและความคิดอันมั่นใจ
ทีมข่าว Feel Good คงจะได้เห็นเขาทำความฝันในวงการบันเทิงสำเร็จในวันใดวันหนึ่ง
ขอเพียงแค่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Feel Good
เรื่อง : ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
ขอบคุณภาพประกอบจาก :
https://www.facebook.com/bankbreakdown.lorphasongsuk